Showing posts with label กลยุทธิ์และวิธีเก็งกำไรแบบต่างๆ. Show all posts
Showing posts with label กลยุทธิ์และวิธีเก็งกำไรแบบต่างๆ. Show all posts

Sunday, September 12, 2010

วิธีการเทรดข่าวนอนฟามในสไตล์ของ 9professionaltrader (Trading Non-Farm Payroll Style 9Professionaltrader)

วิธีการเทรดข่าวนอนฟามในสไตล์ของ 9professionaltrader (Trading Non-Farm Payroll Style 9Professionaltrader) 
การเทรดข่าวนอนฟาม Non-Farm Payroll วิธีนี้ ที่ผมได้ใช้เป็นประจำในการเทรดข่าวนอนฟาม นอกจากข่าวนอนฟามแล้ว ก็ยังสามารถใช้กับการเทรดข่าวแดงๆแรงๆ (High Impact) ได้ทุกข่าว หลักการนี้ผมจะเรียกมันว่า Break out Entry Setting การตั้งราคาเข้าเมื่อมันทะลุ  (ชื่อนี้คิดสดๆเลยครับ) หลักการของมันคือ
-เราจะตั้งราคาไว้ล่วงหน้าที่ราคาสูงสุดและต่ำสุดของช่วงที่ผ่านมา คือจะตั้ง Buy Stop ไว้ที่ High และ Sell Stop ไว้ที่ Low
-เมื่อราคาวิ่งทะลุขึ้นด้านบนก็จะชนราคา Buy stop ที่เราได้ตั้งไว้ และเมื่อ ราคาวิ่งลงมาทะลุ Low ด้านล่างก็จะชน Sell Stop ที่เราได้ตั้งไว้
-การตั้ง Stop Loss  การตั้ง Stop Loss ของ Buy ให้ตั้งที่ ตำแหน่ง Sell Stop บวกไปอีกห้าจุด หรือหาจุด Low ที่ใกล้เคียงกับราคา Sell Stop ในช่วงนั้นๆ และการตั้ง Stop Loss ของ Sell Stop ก็ตั้งที่ตำแหน่ง Buy stop บวกไปอีก ห้าจุด หรือตั้งที่จุดใกล้เคียงกับราคา Buy Stop ในช่วงเวลานั้นๆ
-คำถาม ? อ้าวแล้วถ้ามันวิ่งชนสองฝั่ง ทำไงล่ะ
ตอบ ก็โดน Stop loss ทั้งสองฝั่งไงครับ เสียเบิ้ลเลย เสียสองทาง เพราะฉะนั้นเราควรหาตำแหน่ง Stop Loss ให้เหมาะสม
- อีกหนึ่งคำถาม มีวิธีแก้ไขมั้ย แบบนี้ ถ้าผมไม่ตั้ง Stop Loss จะได้มั้ย เผื่อมันวิ่งสองฝั่งผมจะได้กินทั้งสองฝั่งเลย
 ตอบ  ก็ได้ครับ แต่ถ้ามันวิ่งชน Stop order คุณทั้งสองฝั่ง แล้วมันตัดสินใจไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งคุณต้องตัดอีกพอร์ตทันที ไม่งั้นมันลากคุณยาวแน่ๆ อีกวิธีก็คือ ปล่อยให้ราคาลากไป แล้วไปปิดออเดอร์ที่บวกที่แนวรับแนวต้านใหญ่ๆ จากนั้นก็รอราคาเด้งกลับ พอร์ตคุณก็จะมีกำไรละ แต่ผมแนะนำให้ตั้ง Stop Loss ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเครียดทีหลัง ติดลบนานๆมันเครียด เกิดอาการจิตตก หลอนประสาท
ด้านล่างนี้เป็นรูปตัวอย่างการเทรดข่าวนอนฟาม (Trading non-farm news)
เป็นกราฟของวันศุกร์ที่ 3 ของเดือนกันยายน 2553 เวลา 19.30 ข่าวนอนฟามจะมีเฉพาะศุกร์แรกของทุกๆเดือน ดูรูปกันเลยครับ
การเทรดข่าวนอนฟาม
การเทรดข่าวนอนฟาม (Trading non-farm payroll) ณ วันศุกร์ที่ 3 เดือนกันยายน 2553 เวลา 19.30 น คู่เงิน GBP/USD
หากเพื่อนๆคนไหนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเทรดข่าว สามารถถามได้นะครับ ยินดีตอบให้เสมอ .. 9prof
อย่าลืม สมัครสมาชิก บัญชี google gmail เพื่อเป็นผู้ติดตาม Blog กันนะครับ ที่เมนูด้านข้าง

การใช้ Bollinger band ควบคู่ไปกับ Relative Strength Index และ Stochastic Slow ในตลาดฟอเร็กซ์

การใช้ Bollinger band ควบคู่ไปกับ Relative Strength Index และ Stochastic Slow ในตลาดฟอเร็กซ์
บทความนี้ได้มีเพื่อนผมคนนึงครับบอกชื่อเลยละกัน kt2008(user ในมาเก็ตติว่านะครับ) บอกให้ผมช่วยหา Indicators ที่ใช้ควบคู่กับ Bollinger Band หน่อย ซึ่งตอนนั้นผมก็ตอบเพื่อนคนนี้อย่างรวดเร็วไปว่า "เออ ใช้กับ Stochastic Slow ว่ะ"ซึ่งผมยังไม่ได้บอกมันเลยครับ ว่าผมไม่ได้บอกทั้งหมดว่าใช้กับ RSI ได้ด้วย  แต่ว่าใช้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ Stochastic บอกสัญญาณที่เร็วกว่า Relativa Strength Index (Rsi)  Oscillators ที่บอกสัญญาณได้เร็วอันดับแรกก็คือ Commodity Channel Index (CCI) และรองลงมาก็คือ Stochatic  สองตัวนี้จะเหมาะสมกับกราฟพักตัว หรือที่เรียกว่ากราฟไซเวย์(Sideway) นั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่าได้ใช้อินดิเคเตอร์สองตัวนี้ในการเล่นกราฟที่มีแนวโน้มไปทางเดียวเด็ดขาด เพราะคุณอาจจะถูกหลอกว่ามัน Over Bought (OB= ภาวะตลาดมีแรงซื้อเยอะเกิน )ในช่วงขาขึ้น และภาวะตลาดที่มีแรงขายเยอะเกิน (Over Sold) ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่นักลงทุนตกใจ อย่าพยายามคิดว่า มันสุดแล้วหน่า Sell ดีกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้าครับ   เพราะฉะนั้นคุณควรจะศึกษา Elliott wave หรือหาจัดกลับตัวจากการใช้ Fibonacci กันด้วยครับ ทั้งสองสิ่งนี้มันจะทำให้เรารู้ว่ากราฟจะพักตัวตรงไหน จะกลับตัวตรงไหน สามารถพยากรณ์ช่วยเราได้
InstaForex
เปิดบัญชี โบรกเกอร์ Instaforex Rebate 50%



สำหรับบทความนี้นะครับ จะเป็นเรื่อง การใช้  Bollinger Band ผมจะอธิบายตามหลักที่ผมเข้าใจนะครับ
Bollinger Band คือเส้นที่อยู่เหนือราคา และอยู่ตำกว่าราคา สองเส้นนี้จะเป็นกรอบที่ห้อมล้อมราคาไว้ และสามารถบอกเราให้รู้ว่า ราคาควรจะอยู่ในช่วงไหน ซึ่งนี้แหระครับ คือความมหัศจรรย์ของมัน หลายคนอาจจะมีมองข้ามสิ่งที่ง่ายๆไป สิ่งที่สามารถทำกำไรได้ โดยที่ไม่รู้ว่า พื้นฐานนี่แหระครับ เป็นสิ่งที่ดี (Basis(c) is the best ) โบลินเจอร์แบนจะประกอบด้วยทั้งหมด 3 เส้น ในกรณีที่อยู๋ในกราฟ MT4 นะครับ แต่ถ้าอยู่ใน Marketiva จะมีสองเส้น (ให้เพิ่มเส้น MA 20 เข้าไปเพื่อให้มีสามเส้นเหมือนกับ mt4 )
Bollinger band ประกอบด้วย 1. Upper Line เส้นบนสุด  2.Middle Band เส้นกลาง 3. Lower Line เส้นล่างสุด  เส้นกลาง Middle Line ผมจะเรียกมันว่า เส้น Pivot จะใช้เป็นจุดกึ่งกลางของช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ โดยกฎทั่วไปของ Bollinger band  ผมจะพิจารณาเป็นสองช่วงนะครับ ช่วงแรกคือกราฟวิ่งทางเดียว หรือที่เรียกว่า กราฟมีแนวโน้มที่ชัดเจน และช่วงที่สองคือ ช่วงกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลงเป็น Flat(ขนานในแนวระนาบ) หรือที่เรียกว่ากราฟ Sideway (เหมาะมากกับการใช้โบลินเจอร์แบน)
เรามาดูแบบแรกกันก่อนนะครับ
สภาวะขาขึ้น Bullish 
-ช่วงที่มีแนวโน้มชัดเจน ถ้าเป็นขาขึ้น (Bullish) กราฟจะเกาะเส้นบน (Upper Line ) ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการพักตัว
-เมื่อกราฟพักตัวแล้วราคามีการปรับตัวลงมา แต่ราคาไม่สามารถทะลุเส้น Middle Band ไปได้ นั่นหมายความว่า ราคายังจะคงขึ้นต่อไปจนกว่าจะไปชนเส้นบน Upper line อีกครั้ง
-แล้วจุดกลับตัวดูยังไง
   จุดกลับตัวก็ดูจากราคาปิดของแท่งเทียน ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนปิดต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของแท่งมันเอง นั่นหมายความว่า แนวโน้มของกราฟกำลังจะกลับตัวลงมาที่เส้น Middle Line อีกครั้ง
-แล้วเราจะใช้กับ Time frame ไหน จึงจะเหมาะสมที่สุด
Time Frame หรือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าเล่นสั้น(Short term Trading) หรือเส้นยาว(Long Term Trading) ถ้าเล่นสั้นๆ ก็ใช้ Tf 5 15 นาที แต่ถ้าเล่นยาวๆ ก็ควรจะใช้ มากกว่า 1 H แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมใช้กับกราฟ 30 นาที ถือว่าเหมาะสมกับผมที่สุด
ต่อไปเรามาดูสภาวะที่เป็นขาลง Bearish กันบ้างครับ
สภาวะขาลงก็ตรงกันข้ามกับขาขึ้น แต่สภาวะขาลงจะเล่นสนุกกว่าขาขึ้น เพราะลงมากกว่าขึ้น และใช้เวลาน้อยกว่า เทรดเดอร์บางคนรอเล่นเฉพาะขาลง เพราะมันได้กำไรเร็ว
-ถ้าราคาเกาะเส้นล่าง Lower line ไปเรื่อย แสดงแนวโน้มของขาลงยังคงไปต่อ และยังไม่จบอย่างง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าแท่งเทียนปิดต่ำกว่าครึ่งของแท่งมันเอง เป็นสัญญาณบอกได้ชัดเจนว่าลงต่อ อย่างแน่นอน
-เมื่อราคามีการพักตัวราคาจะดีดกลับมาที่เส้น Middle Line แต่โดยส่วนมาก ราคามักจะไม่ผ่านเส้นกึ่งกลางนี้
-เมื่อราคาเกิดการพักตัวจะ Side way ไปหาเส้น Middle Line แล้วเมื่อไปชนเส้นนี้ แล้วมีแท่งเทียนขาลงเกิดขึ้น แสดงว่าแนวโน้มยังคงลงต่อไปและไปหาเส้นล่าง(Lower Line ) เสมอ

-แล้วจุดกลับตัวล่ะ ดูยังไง
จุดกลับตัวก็ดูตรงข้ามกับกราฟขาขึ้น จุดกลับตัวของกราฟขาลง ถ้าราคาทะลุเส้นโบลินเจอร์แบนลงไปแล้ว เด้งกลับขึ้นมาแล้วลักษณะของแท่งเทียนแสดงเป็นลักษณะ โดจิ ค้อน หรือดูราคาปิดก็ได้ ถ้าราคาปิด ปิดสูงกว่ากึงกลางของแท่ง ก็แสดงว่า เริ่มจะกลับตัว

ช่วงที่สอง กราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง หรือเรียกกันว่ากราฟไซด์เวย์ นั่นเอง
กราฟไซเวย์ดูง่ายครับ ถ้าใช้ Bollinger Band ลักษณะของโบลินเจอร์จะเป็นช่องขนานไปกับแนวระนาน โดยที่
- เส้นบนจะกลายเป็นแนวต้านทันที นั่นหมายความว่า ถ้าราคาขึ้นไปแล้วไม่ผ่าน มันก็จะวิ่งลงมาหาเส้นล่าง แล้วถ้าไม่ผ่านเส้นล่าง ก็ขึ้นไปหาเส้นบน จะเป็นแบบนี้ตลอด
-แล้วมันจะแบบนี้ตลอดเลยเหรอ
มันจะเป็นแบบนี้เฉพาะช่วงไซย์เวย์หนักๆเท่านั้น โดยส่วนมาก จะไม่เกิน 3 Top 3 Bottom ถ้าเกินคือกราฟเริ่มสะสมแรงเพื่อไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
- แล้วมีจุดสังเกตมั้ยว่ากราฟกำลังสะสมกำลังจะพุ่ง
   ดูง่ายๆเลยครับ ถ้าโบลินเจอร์แบนลู่เข้าหากัน หมายความว่า เป็นลักษณะคอคอด หรือขอขวดนัั่นแหระ ให้้เตรียมพร้อมไว้เลย ว่ากราฟจะกำลังจะไปในทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง
วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ ผมให้การบ้านกับคนที่อ่านทุกคน จินตนาการตามที่ได้อ่าน แล้วลองดูกราฟ ตอนนี้ผมยังไม่ทำรูปให้ดู แล้วมาดูกันว่า รูปตามจินตนาการของคุณกับของ 9prof จะเหมือนกันมั้ยครับ ฝากไว้เป็นการบ้านนะครับ

มาดูกันต่อนะครับ ว่า  Bollinger band มีวิธีใช้อย่างไร
1.Up Trend ชนขอบบนแล้วทะลุ และราคาเกาะเส้น Upper Line ไปเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า UpTrend Strong แนวโน้มขาขึ้นยังคงไปได้เรื่อยๆ
ดูรูปตัวอย่างด้านล่างครับ


2.DownTrend ชนขอบล่างแล้วทะลุขอบล่างลงมา เมื่อราคาเกาะขอบล่างลงมา ราคาจะไปต่อได้เรื่อยๆ วิธีสังเกตคือ ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนปิดใกล้กับเส้นขอบล่าง นั่นหมายความว่า แนวโน้มลงยังคงดำเนินต่อไป และแนวโน้มขาลงมักจะเคลื่อนที่แบบต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่าแนวโน้มขาขึ้นมากๆ
ดูตัวอย่าง แนวโน้มขาลงจาก Bollinger band กันเลยครับ



3.Sideway  เมื่อราคาไซด์เวย์ โบลินเจอร์แบนจะเคลื่อนตัวขนานราบ (Flat) หลักการเทรดด้วย Flat แบบนี้ก็คือ เมื่อราคาชนขอบบนแล้วมีแท่งเทียนกลับตัว ให้เปิดออเดอร์ Sell ทันที และเมื่อราคาชนขอบล่างแล้วมีแท่งเทียนกลับตัวขึ้นไป ให้เปิดออเดอร์ Buy ทันทีครับ ดังรูปตัวอย่างด้านล่าง

ด้านบนเป็นตัวอย่างการเข้าซื้อ ขายโดยใช้ Bollinger Band นะครับ จากรูปดูเหมือนง่ายนะครับ เพราะว่ามันเป็นกราฟย้อนหลัง การดูสัญญาณเพียวๆจากโบลินเจอร์แบนตัวเดียวค่อนข้างจะยากนิดนึงครับ เราต้องอาศัยดูแท่งเทียนตอนกลับตัวด้วย แต่อินดี้ตัวนี้จะเหมาะกับพวกชาวสวนมากกว่า เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องหาอินดิเคเตอร์อีกตัวเพื่อเป็นตัวกรองสัญญาณอีกทีครับ เพื่อใช้ร่วมกับ Bollinger band

Indicator ตัวแรกที่ใช้กับ Bolinger band คือ Relative Strength Index (RSI) ; RSI เป็นตัวชี้วัดที่บอก Overbought ( Above 70 ) และ OverSold (Below 30)  และ Pivot (50 level)

1. RSI อยู่เหนือ Level 70 ; แบบนี้บ่งบอกว่าราคาได้ขึ้นมากแล้ว และกำลังจะกลับตัว ดูกราฟเลยครับ

2.Rsi อยู่ต่ำกว่า Level 30 ; ถ้า Rsi บ่งบอกแบบนี้หมายความว่า ราคาได้ลงมามากแล้ว และพร้อมที่จะกลับตัวขึ้นไปอีกครั้ง ดูภาพด้านล่างประกอบเลยครับ


จากรูปเห็นมั้ยครับ Rsi เกิด Oversold แล้วขณะที่ราคาแท่งเทียนทะลุขอบล่างแล้วกลับตัวขึ้นไปอีก แบบนี้ให้เราสังเกตไว้เลยครับ ว่าถ้า Rsi เกิด Oversold แล้วมีแท่งเทียนกลับตัว ให้เราเตรียมตัวเปิดออเดอร์ Buy ได้เลยครับ แล้วตั้ง Stop Loss ไว้ที่ Low ของแท่งเทียนก่อนหน้านั้น

3. RSI ที่ Level 50 (Pivot) โดยส่วนมากนะครับ Level 50 นี้ จะมีสำคัญมาก เทรดเดอร์บางท่านใช้ Level 50 นี้แหระครับ ในการตัดสินใจเทรด ถ้าทะลุ Level 50 ขึ้นไปก็ Buy ตาม แต่ถ้า Rsi ทะลุ Level 50 ลงมา ก็ Sell ตาม ดังรูปด้านล่างครับ

การใช้ Bollinger Band ควบคู่กับ RSI ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำกำไรได้ง่าย แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรานะครับ บางครั้งผมเห็นสัญญาณกลับตัว ก็ยังไม่กล้าเข้าเลย ก็เพราะความกลัวนี่แหระครับ ทำให้พลาดโอกาสหลายๆครั้ง เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์ควรจะชนะความกลัวของตัวเองก่อนนะครับ จึงจะประสบความสำเร็จจากการเทรด โชคดีครับ 9prof


Wednesday, September 01, 2010

การเทรดข่าวนอนฟาม (Trading Non-Farm Payroll)

การเทรดข่าวนอนฟาม (Trading Non-Farm Payroll)



สวัสดีครับเพื่อนชาวบล๊อกเกอร์ 9professionaltrader ทุกคน วันนี้ผมขอนำเสนอวิธีการเทรดข่าวนอนฟาม(Non-Farm-Payroll)
การเทรดข่าวนอนฟาม( Trading Non-Farm Payroll)

Trading Nonf-Farm payroll
ดาวโหลด E-book traing non-farm payroll เพื่อไว้ใช้งาน
การเทรดข่าวได้กลายเป็นที่นิยมมากในหมู่ฟอเร็กเทรดเดอร์อย่างเราๆทั้งหลาย ด้วยเหตผลที่ง่าย ตามที่ข่าวได้ออกจากรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ค่าเงินหลายตัวเกิดการสวิงอย่างรุนแรงในช่วงนาที(หรือบางครั้งอาจจะเป็นวินาทีเลยก็ได้) ซึ่งสิ่งนี้แหระ ได้เป็นสิ่งยั่วยวนใจมากให้กับเทรดเดอร์ทั้งหลาย เพราะมันสามารถได้กำไรเร็วในช่วงเวลาที่สั้น ๆ

ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับนอนฟามกันก่อนนะครับ
ราชาของตัวเลขเศรษกิจทั้งหลายถูกเรียกว่า Non-Farm payroll ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเดือนละหนึ่งครั้ง จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ สัปดาห์แรกของเดือน ข่าวนอนฟาม Non-Farm payroll นี้จะรายงานตัวเลขการจ้างงานทั้งหมดของคนงานสหรัฐในธุรกิจต่างๆ

ข่าวนอนฟาม NFP ( Non-Farm payroll ) นี้จะส่งผลกับจียู (GBP/USD) มากที่สุด ตัวเลขของข่าวนอนฟามจะออกเวลา 8.30ET (19.30 เวลาบ้านเรา) ในช่วงก่อนเวลา 19.30 ราคาจะสวิงขึ้นลง เกิด gap(ช่องว่าง) ขึ้นลงหาทิศทางไม่ได้ ซึ่งเราไม่รู้ราคามันจะไปทางไหน สิ่งที่เราควรทำก็คือ รอ อย่าพึ่งเข้าออเดอร์ใดๆ

ขั้นตอนแรก : ให้รอแท่งแรก ของแท่ง 5 นาที หลังจากเวลา 8.35 ( เราจะใช้ Bar chart นะครับ ) ซึ่งเราจะเรียกแท่งหลังจาก 8.35 นี้ว่า Inside Bar ซึ่ง High และ Low ของ Inside Bar แท่งนี้ต้องไม่สูงกว่าและต่ำกว่า แท่งก่อนหน้านี้

Non-Farm payroll

เรามาดูวิธีการเทรดทั้งสองแบบกันนะครับ ทั้ง Short และ Long จาก Trading Non-Farm payroll
วิธีแรก การเข้า Long

-จากกราฟด้านบนจะเห็นว่า เมื่อข่าว non-farm payroll ออกมาแล้ว เราจะเห็นกราฟแท่งแรกสวิงแรงมาก ขึ้นลง โดยไม่มีทิศทาง สิ่งที่เราควรจะทำคืออยู่นิ่ง แล้วรอ Inside Bar แท่งที่สองต่อจากแท่งนอนฟาม
-แท่งที่สองนี้ เราจะใช้หา ราคาเข้าและกำหนดจุด Stop loss
-แท่งที่สาม เราจะใช้ในการเข้า จากรูปด้านบน เราจะเข้า Buy (Long) ที่ราคาสูงสุด(+2 ถึง 5จุด )ของแท่งที่สอง แล้วตั้ง Stop Loss ที่ราคาต่ำสุดของแท่งที่สอง

วิธีที่สอง การเข้า Short (Sell)



จากกราฟด้านบน เมื่อราคาสามารถทะลุ Low ของ Inside Bar ได้ เราจะเข้า Short (Sell) ทันที และตั้ง Stop Loss ไว้ที่ High ของ แท่ง Inside Bar

วิธีการเทรดข่าวนอนฟาม (Trading Non-Farm payroll ) นี้ เราไม่จำเป็นต้องรอเฉพาะข่าวนอนฟามเพียงอย่างเดียว เราสามารถประยุกต์วิธีการนี้ใช้กับข่าวอื่นๆได้ หรือแม้แต่ เทรดโดยไม่ต้องมีข่าวในบางครั้ง กราฟในบางครั้งก็ขึ้นลงโดยที่เราไม่รู้ว่ามีข่าวอะไร ก็ให้สังเกต Inside Bar ที่เกิดขึ้น แล้วเราก็กำหนดจุดเข้าออกจาก Inside Bar นี้ เราก็สามารถมีกำไรจากวิธีการเทรดแบบนี้ได้ครับ
วิธีนี้ในความเห็นส่วนตัวของผม ก็เหมือนกับการเทรดแบบ Break out ซึ่งผมจะเขียนวิธีนี้ในโอกาสหน้าครับ ติดตามได้ที่ 9professionaltraer ครับ
ตัวอย่างและวิธีการเทรดแบบนอนฟามนี้ผมจะอัพขึ้น Blog เรื่อยๆนะครับ

วิธีการเทรดข่าวนอนฟามในสไตล์ของ 9professionaltrader (Trading Non-Farm Payroll Style 9Professionaltrader)

Friday, August 20, 2010

123 Sell Signal

123 Sell Signal
123 Sell Signal เป็นวิธีการเทรดที่ใช้ใน ตลาด Forex กันมากเพราะว่า ราคาขาลงมักจะแรงกว่าราคาขาขึ้น การเคลื่อนไหวของราคาขาลงส่วนใหญ่จะแรงกว่า ซึ่งสังเกตุง่ายๆก็จากทฤษฎีของ Elliott Wave คลื่นขาขึ้นมา 5 คลื่น แต่ขาลงมีแค่ 3 คลื่นแต่ราคาสามารถลงมาปิดคลื่นที่ 1 คลื่นขาลงได้
เทรดเดอร์โดยส่วนมากจะอาศัยเทรดเฉพาะทางเดียวเท่านั้น ซึ่งผมก็เหมือนกัน ในบางจังหวะก็รอที่จะ Sell มันอย่างเดียว เพราะมันสามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็ว ในบางครั้ง 5 นาทีก็สามารถเก็บได้ 100 กว่าจุด
123 Sell Signal เป็นวิธีการเทรดง่ายๆ เพียงแค่เราหา จุดที่ 1 จุดที่ 2 จุดที่ 3 ในเจอ เพียงเท่านี้เราก็สามารถเทรดได้แล้วครับ
1 2 3 Sell





จะเห็นว่ากราฟขาลงจะเคลื่อนตัวเร็วมาก ทำให้เราสามารถสร้างกำไรจาก 123 System ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจาก 123 Buy ซึ่งจะช้ามาก กว่าราคาจะขึ้นใช้เวลานานกว่า 123 Sell Signal

123 Tradings System

123 Trading system

123 Trading system คือการหาสัญญาณ Buy และหาสัญญาณ Sell จากการนับคลื่นเป็น คลื่นที่ 1 คลื่นที่ 2 และคลื่นที่ 3
123 Tradings System จะประกอบด้วย
1. 123 Buy
2.123 Sell

เรามาดู 123 Buy กันก่อนนะครับ
หลักการของ 123 Buy ก็คือ จุดที่ 1 ต้องเป็นจุดที่ต่ำที่สุด จากนั้นราคาจะขึ้นมาทำจุดที่ 2 และลงไปปรับฐานที่จุดที่ 3 ดังรูปด้านล่างครับ

จากรูปด้านบนจะเห็นว่า จุดที่ 1 คือจุดทีต่ำที่สุด และราคาได้ขึ้นมาที่จุดที่สอง และลงมาปรับฐานที่ จุดที่สาม ซึ่งมีข้อสังเกตอยู่ว่า จุดที่3ต้องลงไปแล้วต้องไม่ต่ำกว่าจุดที่ 1 ตำแหน่งของจุดที่ 3 ต้องปรับฐานไม่เกิน 2/3 ของระยะจากจุดที่ 1 ถึงจุดที่ 2 เราอาจจะใช้ Fibonacci Retracement ในการหาราคาปรับฐานของจุดที่ 3 ได้ดังรูป ครับ

จากรูปเราจะเห็นว่า ราคาไม่สามารถผ่าน Fibonacci 38.2 % ข้อสังเกตอีกหนึ่งข้อคือ ราคาปรับฐานของจะต้องอยู่ในช่วง 38.2-61.8% ถ้าลงต่ำกว่า 38.2 % ราคาจะลงไปทดสอบ Low อีกครั้ง
Take Profits การหาเป้าหมาย เราสามารถวัดหาเป้าหมายโดยการใช้ Fibonacci โดยเป้าหมายจะอยู่ที่ 138.2 -423.6 % ขึ้นอยู่กับสภาพของตลาด ดูรูปด้านล่างเลยครับ
การตั้ง stop loss ,sl เมื่อเราเข้า Buy ที่ตำแหน่งที่ 3 แล้ว ถ้าเกิดความผิดพลาดราคาไม่ขึ้นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ตำแหน่งที่เราควรจะตัดทิ้ง Cut Loss ก็คือ ที่ตำแหน่งที่ 1 หรือต่ำกว่าตำแหน่งที่ 1 ประมาณ 10 จุด เพราะบางครั้ง ราคาอาจจะลงไปทำ Double bottom แล้วเกิดการกลับตัวขึ้นมา

ตัวอย่างสัญญาณ 123 Buy


Thursday, August 19, 2010

วีดีโอการหาจุดกลับตัวของแนวโน้มโดยใช้กราฟแท่งเทียน

วีดีโอนี้จะสอนเกี่ยวกับการหาจุดกลับตัวโดยใช้กราฟแท่งเทียน อธิบายเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียน เราสามารถนำมาประยุกต์กับตลาด Forex ได้

Thursday, August 05, 2010

การลากเส้น Trendline

พอดีมีน้องใน Box chat ถามถึงวิธีการหาแนวรับแนวต้าน โดยการลากเทรนไลน์ ผมก็เลยมาเขียนบทความนี้ อธิบายถึงการลากเทรนไลน์ เพื่อหาแนวรับแนวต้านนะครับ
ก่อนอื่นเลยไปที่ Insert แล้วเลือก Line เลือก Trendline พอเลือกแล้ว เม้าท์ของเราจะมี เทรนไลน์ติดมาด้วย
จากนั้น ให้เอาไปจิ้ม ที่ยอดก่อนหน้านั้น เทียบกับยอดปัจจุบัน ดูตามรูปเลยนะครับ
รูปนี้เป็น GBP/JPY 1H เป็นการหาแนวต้าน Resistance Trendline


การหาแนวรับก็ลากเทรนไลน์ จากจุดต่ำสุดก่อนหน้านั้น เทียบกันสองคลื่น แล้วจะได้แนวรับปัจจุบัน ดังรูปครับ


ต่อไปจะเป็นการหา แนวรับ และแนวต้านจาก Horizontal line คลิกที่ Insert เลือก Line แล้วเลือก Horizontal line จากนั้นก็เอามา จิ่้มที่ ยอดของราคา และ ก้นเหวของราคา ดังรูปเลยครับ

ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวรับและแนวต้านได้ เราก็รอสัญญาณกลับตัวจากแท่งเทียนนะครับ ต้องรอมันทดสอบแนวรับแนวต้านนั้นๆก่อนนะครับ โดยการเปิดที่ช่วงเวลาเล็กๆ ลงมา ถ้าทดสอบแนวรับแนวต้านนั้นสองถึงสามรอบแล้วไม่ผ่าน เราก็เปิดออเดอร์ กันเลยครับ
ผิดพลาดประการใดขออภัยนะครับ
ขอบคุณมากครับ
9prof

Monday, July 12, 2010

การ เทรดโดยการใช้ แนวรับ-แนวต้าน(Trading by using Support and Resistance)

การเทรดโดยใช้แนวรับและแนวต้านนี้ทำได้หลายวิธี ซึ่งผมจะค่อยๆ เขียนลงให้ Blog ให้นะครับซึ่งวันนี้ผมจะเขียนวิธีที่ใช้กันทั่วไปก่อนก็คือ
1 . การเทรดโดยใช้จุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต
วิธี การนี้เราจะใช้จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในอดีต โดยปกติแล้วจุุดสูงสุดและต่ำสุดนี้จะมีความสำคัญมากเพราะว่าราคาจะกลับ มาทดสอบจุดพวกนี้อีกครั้ง ถ้าผ่านก็ไปต่อ ถ้าไม่ผ่านก็กลับตัว เราจึงใช้จุดพวกนี้ในการเข้าเทรดได้
ดูตัวอย่างจากรูปด้านล่างกันเลยนะ ครับ(ท่านสามารถคลิกที่รูปด้านล่างเพื่อขยายได้ครับ)
จากรูป เป็นกราฟของค่าเงินปอนด์เทียบดอลล่านะครับ ( GBP/USD) ดูที่กราฟราย 1 ชั่วโมงนะครับ จะเห็นว่าผม ได้ขีดเส้นสองเส้นสีแดงเอาไว้ ที่กราฟ และมีราคากำกับอยู่ จะมีสองราคา คือ 1.5045 และ 1.5058 เหตที่ทำไว้สองราคาคือ ในบางครั้งราคาจะกลับแนวต้านนี้ บางที่มันก็มีทดสอบที่ราคาสูงสุด และบางทีมันก็มาทดสอบที่ราคาปิด( Trader ส่วนใหญ่จะใช้ราคาปิดเป็นแนวรับแนวต้านครับ ) เมื่อเราได้ราคาสังเกตการณ์แล้วคือ 1.5045 และ 1.5058 ก็ให้รอ ครับ รอ ร้อ รอ ไปเรื่อยๆ จนกว่าราคามันจะกลับมาเทสจุดที่เราได้ขีดเส้นไว้อีกรอบครับ หลังจากที่รอกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง และแล้ว ราคามันก็กลับมาครับ แต่เราไม่รู้ว่ามันจะทะลุหรือว่ามันจะกลับตัว ดูภาพด้านล่างประกอบเลยครับ
จากรูป จะเห็นว่าราคากลับมาเทสที่ High อีกรอบ เราก็รอดูมันครับ ถ้ามันผ่าน วิธีการนี้ก็ใช้ไม่ได้ รีบสละเรือด่วน ( ถ้าเข้าไว้ ก็ Stop loss ทิ้งไปครับ ) แต่ในกรณีนี้ เหมือนสวรรค์เข้าข้างเราครับ มันชนแนวต้านที่เราขีดไว้ แล้วเด้งกลับทันที เกิดแท่งเทียนกลับ ( Reversal candle ) ครอบคลุมแท่งเทียนขาขึ้น ( Bullish Candle ) มิดด้ามเลยครับ ก็แสดงให้เห็นว่า แนวต้านนี้เป็นแนวต้านที่แข็งน่าดู จึงบอกเราได้ว่า มันกลับตัวแน่นอนครับ เรามาดูภาพต่อไปกันเลยครับ
จากรูป จะเห็นมั้ยครับ ว่า พอราคามันไม่ผ่านแล้ว มันลงยาวเลยครับ เรามีดูวิธีการเข้าออเดอร์ของกราฟลักษณะนี้นะครับ เข้าได้หลายกรณีครับ บางคนก็รอให้ชนเส้นแนวต้านที่เราขีดไว้ก่อนแล้วถ้าเกิดแท่งเทียนกลับตัว ( Reversal Candle ) พวกเขาจึงจะเปิด ออเดอร์ Sell ครับ และบางคนก็ตั้ง Order Sell ไว้ที่เส้นที่เราขีดไว้เลยครับ(ชาวสวนครับ)แล้วก็ตั้ง Sl ไว้ประมาณ 10-50 จุดครับ แล้วแต่ว่าใครอยากเสียกันเยอะ หรือว่าอยากเสียกันน้อยๆ ขึ้นอยู่กับความพอใจครับ ซึ่งเราสามารถใช้วิธีการเข้าออเดอร์ได้ทั้งสองกรณี ทีนี้เรามาดูการตั้งราคาเป้าหมายกันบ้าง เข้าแล้วออกไม่เป็นอีก ไม่รู้จะออกราคาไหน ก็เอาราคาแนวรับของกราฟในอดีตอีกแหระครับ ตั้งทาเก็ต ถ้าลงมาถึง ก็ร่ำรวยกันครับ แต่ในกรณีนี้ ราคาลงมาถึง แนวรับ ที่ผมได้ขีดเส้นไว้เลยครับซึ่งเป็นราคาปิด 1.4581 ใครได้ปิดราคานี้ ถือว่า เซียนมากครับ รับทรัพย์กันเต็มๆ จากยอด ถึง เหว ก็เกือบๆ 500 จุด ครับ แต่รอหลายวันหน่อยนะ แต่ก็คุ้มกับการที่รอคอยครับ
*** เป็นไงบ้างครับ ยากมั้ยวิธีนี้ ผมว่าไม่ยากนะ แต่ไอ้ที่ยากก็คือ เห็นมันบวกแล้วจะพากันปิดก่อน ก่อนถึงทาเก็ต(Target)นะสิครับ อิอิ ผมเองก็ไม่รอมันถึงทาเก็ตหรอกครับ บวก 100 นี่ก็ถือว่า เทพละครับ ** ขอให้ร่ำรวยครับ

การ เทรดโดยการใช้Pivot(Trading by using Pivot)

สวัสดีครับทุกท่าน นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผมใช้เทรดในปัจจุบัน ถ้ากราฟไหนตรงเงื่อนไขนี้ผมก็มักจะใช้มันในการเทรด ไม่ยากครับวิธีนี้ ง่ายๆ แค่หาจุดกึ่งกลางราคาของราคาเมื่อวานนะครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกะไอ้เจ้า Pivot กันก่อนนะครับ ว่ามันมีความสำคัญยังไง Pivot คือ ราคากึ่งกลางของช่วงเวลาที่เราวัด จากจุดสูงสุดถึงต่ำสุด (งงมั้ยครับ.. อิอิ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน..เอาเป็นว่าเข้าใจกันนะ) เราจะหา Pivot หรือจุดกึ่งกลางได้ยังไง จุด Pivot เราจะหากันจากกราฟของเมื่อวานนะครับ เราดูราคาสูงสุด ( High = H ) ราคาต่ำสุด ( Low =L ) และราคาปิด ( Close=C) เปิดกราฟ Daily นะครับ แล้วใช้เม้าท์ชี้ที่แท่งเทียน แล้วมันจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับราคาพวกนี้นะครับ ( สำหรับท่านที่เทรด Marketiva นะครับ ) ดูรูปด้านล่างนะครับ
เห็น กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆกันมั้ยครับ ในนั้นจะบอกราคา Open ,High, Low, Close ครับ เราจะใช้ราคา High , Low , Close มาใช้ในการคำนวณเพื่อหา Pivot นะครับ
สูตรที่ใช้ในการคำนวณหาค่า Pivot คือ
Pivot = (High + Low +Close)/3
จุดกึ่งกลางเท่ากับ ราคาสูงสุด บวก ราคาต่ำสุด บวก ราคาปิด แล้วเอาทั้งหมด มาหารด้วย 3 ครับ
หรือ P = (H+L+C)/3
จากตัวอย่างเรา ลองคำนวณกันเล่นๆนะครับ
แทนค่าที่ได้ลงไปในสูตรเลย
High = 1.2577 , Low=1.2353, Close=1.2367
แทนลงไปในสูตรข้างบนครับ
Pivot = ( 1.2577+1.2353+1.2367) เราก็จะได้ ค่า Pivot เท่ากับ 1.2432
พอเราได้ค่า Pivot ของเมื่อวานแล้ว เราก็มาดูกราฟของวันนี้เลยครับ ดูราคาว่ามันวิ่งกลับไปเทสที่ Pivot มั้ย ถ้ามันไปเทส หรือราคาไกล้เคียง เราก็เตรียมเข้าออเดอร์กันได้เลยครับ
ขอนอกเรื่องนิดนึงนะครับ นอกจากเราจะใช้ค่า ราคา High Low Close ในการหา Pivot ได้แล้ว เรายังสามารถใช้ ราคาเหล่านี้ราคา แนวรับและแนวต้านของกราฟได้อีกด้วย เรามาดูกันครับ ว่าหากันยังไง
เมื่อเราได้ค่า Pivot , P แล้ว เราเอา P มาใส่ใน สูตรเหล่านี้นะครับ
อิอิ ผมขออธิบายศัพท์ก่อนนะครับ ลืมๆ
จุด กึ่งกลาง , Pivot, P
แนวรับ (Suport)
แนวรับที่ 1, Support 1 , S1
แนว รับที่ 2, Support 2 , S2
แนวรับที่ 3, Support 3 , S3
แนวต้าน( Resistance)
แนวต้านที่ 1 , Resistance 1, R1
แนวต้านที่ 2 , Resistance 2, R2
แนวต้านที่ 3 , Resistance 3, R3
เรามาดูสูตรที่ใช้ ในการคำนวณค่าเหล่านี้เลยครับ
P=(H+L+C)/3
S1=P-0.382(H-L)
S2=P-0.50(H-L)
S3=P-0.618(H-L)
R1=P+0.382(H-L)
R2=P+0.50(H-L)
R3=P+o.618(H-L)
เรา จะเห็นว่า มีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตัวเลขพวกนี้เป็นตัวเลข Fibonacci Number ครับ เด๋วรายละเอียดเราค่อยมาว่ากันในบทความต่อไป หรือถ้าท่านใดอยากศึกษา Search Google เลยครับ มีเพียบบบ
จากสูตรข้างบน เราก็จะได้แนวรับและแนวต้าน พอได้แล้ว เราก็ใช้ Horizontal line แปะไว้บนกราฟเลยครับ ( สำหรับ คนที่เทรด marketiva นะครับ คลิกขวาที่กราฟ แล้วเลือก Indicators >> Horizontal Line )
เพียงแค่นี้ก็จะมีแนว รับแนวต้านของวันอยู่บนกราฟเราละครับ

มาเข้าเรื่องกันต่อครับ การใช้ Pivot ในการเทรดยังไมได้เห็นภาพกันเลย ผมจะใช้กราฟของโปรแกรม Mt4 นะครับ ในการอธิบาย และใช้ Fibonacci Retracement ในการหา ค่า Pivot ค่า Pivot ก็คือค่า 50 % ใน Fibonacci นั่นเองครับ
ก่อนอื่นเซตกราฟ ใน Mt4 ของท่านก่อนนะครับ คลิกขวาที่กราฟ แล้วเลือก Properties ครับ ตามรูปด้านล่างเลยนะครับ
จากนั้น ก็ไปคลิ็ก ที่ช่อง Common แล้วก็ติ็ก ตามรูปเลยนะครับ แล้วกดปุ่ม OK
พอกด OK แล้วจะได้กราฟ หน้าตาแบบนี้นะครับ คลิกขวา เลือก Periodicity ที่ 15 minutes
จากรูป เราจะเห็นเส้นปะแนวตั้ง เส้นนี้คือ มันจะแบ่งช่วงของราคาวันต่อวันครับ เราก็สามารถรู้จุดสูงสุดและต่ำสุดของอดีตได้
เอาล่ะครับ เกริ่นนำมานานมาก หลายท่านคงบ่นแล้วสิ เมื่อไรมึงจะเข้าเรื่องซักทีวะ ++ ใจเย็นๆครับ ท่าน เด๋วผมขอนอกเรื่องนอกซักเรื่องครับ เป็นการตั้งค่า Fibonacci ให้บอก จุด pivot แสดงราคาให้เราได้ด้วย เริ่มกันเลยครับ
ให้ ไปคลิกที่ Insert แล้วก็เลือก Fibonacci แล้วเลือก Retracement นะครับ พอเลิกแล้ว มันจะติดอยู่ที่เมาท์ของเรา เอามันไปจิ้มที่ยอด สูงสุดก่อนครับของช่วงเวลาเมื่อวานนี้ ที่อยู่ในกรอบเส้นปะอ่ะครับ
พอ จิ้มที่สุดสูงสุุด จิ้มค้างไว้นะครับ อย่าพึ่งปล่อยเมาท์ แล้วลากมันลงมาหาจุดต่ำสุดของวันครับ ลากลงมาเลยครับท่าน เราก็จะได้ดังรูปด้านล่างนี้ครับ
จากนั้น ให้ให้คลิกขวาที่ตัว Fibonacci มันจะมีจุดขาวๆขึ้นมาแล้วเลือก Fibonacci Properties หรือไม่เราก็คลิกขวาที่กราฟครับ แล้วเลือก Objects List แล้วเลือก Fibo แล้วคลิกที่ Edit จากนั้น จะขึ้นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาตามรูปด้านล่างเลยครับ
ให้ เลือกที่ Fibo Levels นะครับ แล้วให้เรา พิมคำว่า =%$ ต่อท้ายตัวเลขที่ช่อง Descripttion ให้หมดทุกตัวเลยนะครับ ยกเว้น ที่ ช่อง 50 ให้ลบออกครับ แล้วพิมคำว่า Pivot=%$ ลงไป จะได้ตามรูปครับ
ครับ และแล้วเราก็ได้ Pivot แล้ว ซึ่งเป็นราคา Pivot ของวันที่ผ่านมา ซึ่งเราจะเรามาใช้ในการสังเกตการณ์ในกราฟของวันนี้ ที่เรากำลังเล่นอยู่ จากรูปจะเห็นว่า ราคา Pivot อยู่ที่ 1.4933 ซึ่งในช่วงตลาด โตเกียว ราคาจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป จนใกล้ถึงจุด Pivot ของเรา ถ้าราคาไม่สามารถทะลุผ่าน Pivot ขึ้นไป ให้เปิด Sell ได้ทันที จากนั้นก็รอราคาลงมาเรื่อยๆ จนเราพอใจ แล้วเราค่อยปิด เอากำไร การตั้ง stop Loss ของวิธีนี้ ควรตั้งอยู่เหนือ ราคา 61.8( ในกรณีที่เรา Sell แต่ถ้าเรา Buy ก็ตั้งต่ำกว่า 38.2 ไว้ประมาณ 10 จุด) ข้อสังเกตอีกอย่างของวิธีการนี้คือ ถ้าราคาทดสอบ ที่บริเวณ Pivot หรือใกล้เคียงราคา Pivot ให้เราคิดไว้เลยว่า ไม่นานมันจะกลับตัว หรือไม่ก็รอแท่งเทียนยืนยันการกลับตัว ถ้ามีแท่งเทียนกลับตัว เราก็เปิด ออเดอร์ตามมาเลย ดูภาพด้านล่างนะครับ ภาพตัวอย่างนี้ ราคาวิ่งไม่ถึง จุด Pivot แล้วลงมาทันที แล้วลงเยอะด้วย ใคร Sell กำไรบานเลยครับ ดูรูปด้านล่างกันเลยครับ
ไม่ยาก นะครับวิธีนี้ ง่ายๆ แต่ต้องรอหน่อย รอแค่จุด Pivot วันนึงเราอาจจะได้เทรดแค่ครั้งเดียว หรือสองครั้ง
วิธีนี้เหมาะสำหรับ Day Trade นะครับ เล่นรายวันยาวๆหน่อย เด๋วดูตัวอย่างประกอบกันเลยครับ
หวัง ว่าวิธีนี้คงทำให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้มีกำไรจากฟอเร็กซ์นะครับ .. ขอให้ร่ำรวยครับ ^^ pipsrunner
Buy ที่ Pivot สบายๆเลยครับ
ราคา กลับมาเทสที่ Pivot สองครั้ง ไม่ผ่าน เรา Sell ได้เลยครับ

ขอขอบคุณที่มา >> http://pipsrunner.blogspot.com/2010/05/pivottrading-by-using-pivot.html

Stochastic

Stochastic เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการเกร็งกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ สโตเป็นเครื่องมือวัดการแกว่งของตลาดซึ่งเหมาะกับตลาดไซว์เวย์ (Side way) ไซเวย์หมายความว่ามีการแปลงแปลงของราคาไม่มากนัก สโตเป็นเครื่องมือที่ไวเท่ากับราคา สัญญาณของสโตจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการตัดกัน โดยส่วนมาก ผมจะใช้ สโต ในการดูOverbought / Oversold และ การดู Divergence
สัญลักษณ์ ที่ผมใช้เพื่อให้เข้้าใจกันทุกคนนะครับ
OB=Overbought สัญญาณแรงซื้อเยอะเกินไปแล้ว
OS=Oversold สัญญาณการขายเยอะเกินไปแล้ว
DVB=Divergence Bullish สัญญาณกลับตัวของขาขึ้น
DVBr=Divergence Bearish สัญญาณการกลับตัวของขาลง
มาดดูภาพด้านล่าง ประกอบเลยนะครับ

จากภาพด้านบนจะเห็นว่า ผมได้กำหนดให้เส้นปะสีขาว ที่ระดับ 80 เป็น เขต OB และ เส้นประสีขาวด้านล่างที่ระดับ 20 เป็นเขต OS ซึ่งสโตในรูปผมได้ตั้งค่าไว้ที่ 8- 3 -3 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไป มีเส้นสีขาวและสีแดง เป็นเส้นสัญญาณในการพิจาณา ซึ่งดูจากการตัดกันของเส้น

การดู stochastic

1.เมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้วิ่่งเข้าสู่ เขต OB ระดับ 80 แล้ว เราก็เริ่มพิจาณากันได้เลยว่า การขึ้นมาของราคาเริ่มจะสิ้นสุดลงแล้ว ให้เตรียมปิดออเดอร์ เมื่อเริ่มมีสัญญาณการกลับตัวนั่นก็คือ เส้นสัญญาณท้งสองเส้นเริ่มตัดกันให้เราปิด ออเดอร์ ที่เรา Buy มาทันที และเตรียมหาสัญญาณ Sell เมื่อเส้นสัญญาณทังสองเ้ส้นได้ตัดกันเรียบร้อยแล้ว

2.เมื่อเส้นสัญาณทั้งสองเส้นได้วิ่งเข้าสู่เขต OS ระดับ 20 แล้ว มันเป็นสัญญาณบอกเราว่า การลงมาของราคาไดใกล้สิ้นสุดแล้ว ให้เราเตรียมปิดออเดอร์ที่เราได้ Sell
มา แล้วเตรียมหาโอกาสเมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้กลับตัวแล้วมีการตัดกันเกิด ขึ้น แล้วเราก็เปิด order buy ทันที

3. การดู Divergence ไดเวอร์เจนดูได้สองแบบคือ ดูไดขาขึ้น และไดขาลง ไดขาขึ้นเรียกว่า Divergence Bullish ไดขาลงเีีรียกว่า Divergence Bearish
การดูไดขาขึ้น DVB จากรูปเห็นเส้นสีเหลืองกันมั้ยครับ นั่นแหระครับ คือ Divergence ไดเวอร์เ้จ้นเป็นการลากจุดสองจุดเทียบกัน โดยมีข้อกำหนดที่ว่า ยอดแรกและยอดที่สองต้องไม่เท่ากัน จึงจะเรียกว่าไดเวอร์เจน การดูไดขาขึ้นก็ลากสองยอดเทียบกัน โดยให้ ความชันมีค่าเป็นบวก ถ้าสัญญาณได้เกิดไดเวอร์เจนนั่นก็หมายความว่าราคาจะมีการกลับตัวในไม่ช้า เตรียมเปิดออเดอร์กันได้เลย การใช้ sto ดูไดเวอร์เจนจะไม่ค่อยชัดเจนเหมือนดูจาก CCI , RSI , และ MACD เพราะ stochastic จะเน้นไปทางการดู
Overbought/ Oversold มากกว่า และดูจากการตัดกันของ เส้นสัญญาณทั้งสองเ้ส้นด้วย เพียงแค่นี้เราก็สามารถเกร็งกำไรจากตลาดฟอเร็กโดยใช้ stochastic กันได้แล้ว

ขอขอคุณที่มา >>>> http://www.fx-dd.makewebeasy.com

Moving Average

Moving Average คือเส้นเฉลี่ยการเคลื่อนที่ซึ่งคำนวณมาจากราคาในแต่ละช่วงแล้วนำมาหาค่า เฉลี่ย
การใช้ Moving Average ในการทำกำไร เราจะใช้กับตลาดที่สามารถบอกเทรนได้ ไม่สามารถใช้กับตลาดที่ผันผวนมากๆแกว่งไปแกว่งมา ( Side way)
Moving Average ให้สัญญาณที่ช้า แต่ถ้าเราดูเป็นก็สามารถใช้มันในการเกร็งกำไรได้อย่างง่ายดาย
ประโยชน์ Moving Average
1. ใช้เป็นเส้นแนวรับแนวต้านได้
2. ใช้เพื่อดูแนวโน้ม
3. ใช้ Confirm สัญญาณการเข้าออก
Moving Average ที่่ใช้กันทั่วไป ใช้ แบบ Simple และ Exponential เรียกสั้นๆ ว่า SMA และ EMA
ผมจะยกตัวอย่าง Moving Average ที่ผมใช้ในการเกร็งกำไรนะครับ
Moving Averageที่ผมใช้เป็น แบบ Exponential มีค่า Period 5 , 21 , 55 , 110 และ 200 วัน ทำไมผมจึงเลือกใช้ Exponential ก็เพราะว่า EMA จะให้ค่าที่แม่นตรงกว่า SMA
เรามาดูวิธีการใช้กันเลย
1 . ใช้เพื่อดูแนวรับแนวต้าน(Support And Resistance)
การดูแนวรับแนวต้านเราจะดูที่ช่วงเวลา( Time Frame ) ใหญ่ๆ เพราะที่ช่วง TF ใหญ่ๆจะให้ค่าที่ค่อนข้างแม่นพอสมควร
เมื่อราคาวิ่งผ่าน EMA ไปแล้ว โดยส่วนใหญ่ มันจะวิ่งกลับมาหาเส้นที่มันทะลุอีกครั้งเพื่อทดสอบแนวรับแนวต้าน
ดูรูปประกอบด้านล่าง

จากรูปด้านบน เป็นกราฟ Daily ของ USD/JPY
สีน้ำเงิน เป็น เส้น EMA 5
สีแดง เป็น เส้น EMA 21
สีดำ เป็น เส้น EMA 55
สีส้ม เป็น เส้น EMA 110
สีน้ำตาลเป็น เส้น EMA 200
จากรูปด้านบนเราจะเห็นว่า เมื่อราคาได้ทะลุเส้น EMA แล้วมักจะกลับมาทดสอบอีกครั้ง ลองดูง่ายๆนะครับ เราจะเห็นกราฟ ยูเจ เป็นช่วงขาลง
และราคาได้ปรับตัวขึ้นไป เส้นแนวต้านเส้นแรกก็คือ EMA 5 ถ้าทะลุ เส้นนี้ก็ไป EMA 21 ถ้าทะลุ 21 ก็ไปหาเส้น 55 ถ้าทะลุก็ไปต่อเรื่อยๆ
เส้น EMA 200 จะเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งมาก ถ้าทะลุไปก็คือเปลี่ยนแนวโน้มทันที ห้ามสวนเทรน เราอาจจะใช้ เส้น EMA 200 เพื่อบอกเทรนก็ได้
เราสามารถประยุกต์ EMA นี้ ได้กับ ทุก Time Frame เพื่อทำกำไรในตลาดฟอเร็ก

2. เราจะใช้ EMA เพื่อบอกแนวโน้ม ดังรูปด้านล่าง
EMA สามารถบอกแนวโน้มเราได้ ว่าขณะนี้เป็น เทรนขึ้นหรือลง
แนวโน้มขั้น ( Up Trend) จะเป็นแนวโน้มขึ้นก็ต่อเมื่อ ราคาได้ทะลุ EMA ทุกเส้นขึ้นไปทั้งหมด และราคาปิดสามารถอยู่เหนือ EMA
(การดูแนวโน้ม ให้ดูที่กราฟ สี่ชั่วโมงขึ้นไป เพราะกราฟใหญ่ๆจะไม่หลอกเรา )
แนวโน้มลง (Down Trend ) จะเป็นแนวโน้มลงก็ต่อเมื่อ ราคาได้ทะลุ EMA ทุกเส้นลงมาทั้งหมด และราคาปิดอยู่ใต้เส้น EMA

3.ใช้ Confirm สัญญาณการเข้า-ออก เราสามารถใช้ EMA ในการซื้อขาย ได้ หลักการดูก็คือ ดูการตัดกันของ EMA โดยเริ่มจาก EMA ที่มีค่าน้อยตัด EMA ค่ามาก
เช่น EMA 5 ตัดกับ EMA 20 ตัดขึ้นไป เราก็เข้าซื้อ BUY/LONG หรือ EMA 5 ตัดกับ EMA 20 ตัดลงมาก เราก็เข้าขาย Sell/Short ดูตัวอย่างจากรูปด้านล่าง
จากรูป ดูที่ขอบด้านซ้าย EMA 5 เริ่มตัด เส้นEMA 21 นั้นเป็นสัญญาณบอกแล้วว่า แนวโน้มได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว และ เส้น EMA 5 ก็ทะลุเส้น EMA 21 , 55 ,100 ,200
เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่าเป็นแนวโน้มลงแน่นอน สังเกตุที่แท่งเทียน แท่งเทียนได้ทะลุ EMA 5 ลงมาแล้ว และมันก็กลับไปเทสที่ตัวมันเองอีกครั้งแต่ไม่ผ่าน แล้ว
ราคาก็ไต่ระดับลงมาอีกแล้วก็กลับไปทดสอบเส้น EMA 5 และ EMA 21 กราฟแบบนี้สวยมาก เป็นการลงต่อเนื่อง ไม่สามารถทะลุ EMA ที่มีค่าน้อยๆไปได้ นั่นหมายความว่า
ราคายังจะลงต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเส้น EMA 5 จะทะลุเส้น EMA 21 ขึ้นไป เราจึงมองว่ามันเป็นขาขึ้น อย่าสวนเทรนกันเด็ดขาด

เมื่อเรารู้แล้วว่าแนวโน้มใหญ่ไปทางไหน ขึ้นหรือลง เราก็มามองหาราคาที่เราจะเปิดออเดอร์ เราควรหาราคาเข้าที่ Time Frame เล็กๆ
เมื่อแนวโน้มของ Time Frame เล็กๆ ตรงกับ แนวโน้มของ Time Frame ใหญ่ เราจึงเปิดออเดอร์ ... ขอให้ทุกท่านโชคดี ครับ

ขอขอบคุณที่มา >> http://www.fx-dd.makewebeasy.com

MACD( Moving Average Convergence Divergence)

Moving Average Convergence Divergence (MACD)

เป็นเครื่องมือวัดความแรงของตลาด ซึ่งได้คำนวณค่าจากเส้นการเคลื่อนที่ของราคา 2เส้นMACD ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ เส้น Moving Average , Signal Line , และ Histogram ดังรูปด้านล่าง

จากรูปด้านบน EUR/USD 4 Hours กราฟแบบแท่งเทียน(Candlestick)
เส้นสีแดงเป็น Signal Line
เส้นสีน้ำเงินเป็นเส้น Moving Average
ส่วนสีเงินเป็น Histogram ฺBar
MACD จะ แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ด้านบนและด้านล่าง โดยมีเส้น Zero Line กลั้นอยู่ โดยด้านบนเราจะเรียกว่า แดนบวก( Bullish zone) และด้านล่างจะเรียกว่า แดนลบ (Bearish Zone)
พิจาณารปด้านบน
จากหมายเลข 1 เราจะเห็นว่า เส้น Moving Average สีน้ำเงิน ตัดกับเส้น Signal Line สีแดง เมื่อ ตัดผ่าน เราก็เข้าซื้อ (Buy/Long) กันได้เลย เมื่อเข้าแล้ว ถ้าราคาเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นก็ปล่อยไปเรื่อยๆ หรืออาจจตั้งเป้าหมายเอาไว้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของทุกท่านว่าจะเอาเท่าไร เราจะปิดก็ต่อเมื่อเส้นสีน้ำเงิน ตัดกับ เ้ส้นสีแดงอีกครั้ง เราก็ทำการปิดออเดอร์ดังรูปหมายเลข 2 จากนั้น ก็รอหาจังหวะในการเข้าทำกำไรใหม่อีกครั้ง จะเห็นว่า หมายเลข2 เป็นสัญญาณขาย ( Sell/ Short) เราก็เซลเมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดกับสีแดง และรอปิดเมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดสีแดงอีกครั้ง เราจะเห็นว่าช่วงที่ 2- 3 ไม่น่าเปิดออเดอร์
ต่อไป เรามาทำการพิจารณา Histogram ในช่วงหมายเลข 2 ถึง หมายเลข 3 จะพบว่า Histogram(สีเงิน) ทำยอดคลื่นต่ำลงเรื่อยๆ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ราคาในขาขึ้นเริ่มหมดแรงแล้ว ในภาษาทางเทคนิค เรียกกันว่า Divergence ราคายังเป็นขาขึ้นอยู่ แต่ Macd-Histogram เริ่มปรับตัวลง เราก็เริ่มมองหาสัญญาณขาย( Sell/Short) กันได้เลย ดังหมายเลข 3 สีน้ำเงินตัดกับสีแดง สัญญาณConfirm ว่าให้ Sell คือหมายเลข 7 ตำแหน่งนี้เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนมากเพราะเส้นสีน้ำเงินและ Histogram ตัดกับ Zero Line ซึ่งหมายความว่าตลาดได้เข้าสู่สภาวะกระทิง (ฺำBearish Market) ตลาดขาลง เมื่อเรา Sell แล้วก็ปล่อยให้ราคาวิ่งไปเรื่อย เมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดเส้นสีแดงอีกครั้งเราก็ทำการปิดออเดอร์ และรอจังหวะ เพื่อ ที่จะซื้อกลับอีกรอบ
ต่อไปเรามาพิจารณาหมายเลข 4 และหมายเลข 5 จะดังเกตว่า Histogram ทำการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ในขณที่ราคาด้านบนก็ยังมีการปรับตัวลง นี่คือ Divergence bullish เราจะเห็นว่า สันคลื่นของหมายเลข 5 สูงกว่า หมายเลข 4 นั่นหมายความว่า ราคาจะเกิดการกลับตัวในไม่ช้า เราจะรู้ได้ไงว่าราคาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง เราก็ดูการตัดกันของเส้นสีน้ำเงินตัดกับสีแดงเหมือนเดิม ถ้าสีน้ำเงินตัดสีแดงขึ้น ก็ทำการ ซื้อ Buy กันได้เลย เมื่อเราได้ทำการซื้อ ฺBuy ในหมายเลข 5 สัญญาณ คอนเฟริม ก็คือ เส้นสีน้ำเงินและ Histogram ได้ตัดเส้น Zero Line ขึ้นไป(หมายเลข 6 ) หมายเลข 6 จะเป็นตำแหน่งซื้อ Buy ที่ปลอดภัย เพราะตลาดได้เข้าสู่สภาวะขาขึ้น ( Bullish Market) นักลงทุนบางคนจะรอเข้า แค่ตรงนี้เพราะพวกเขาถือว่า เปิดออเดอร์ในราคาที่ปลอดภัยดีกว่าเิปิดออเดอร์ในราคาที่สวย
เราจะเห็นว่า MACD จะวิ่งเป็นรอบ ขึ้น ลง ขึ้น MACD ให้สัญญาณช้า แต่ว่ามีความแม่นตรงค่อนข้างสูง มันจึงถูกยกย่องให้เป็น อินดิเคเตอร์เทพ แห่งฟอเร็กซ์
การดู MACD นั้น ไม่ยาก แค่ดูการตัดกันไปตัดกันมา ของเส้นสีน้ำเงินและสีแดง และ ดูว่าเส้นสีน้ำเงินและ Histogram ตัดผ่าน Zero Line เพียงแค่นี้เราก็สามารถทำกำไรจาก ตลาด ฟอเร็กได้แน่นอน

รูปตัวอย่างการเทรดโดยใช้ MACD อย่างเดียว



Divergence Bulish คือ ราคาทำราคาต่ำสุดใหม่ เมื่อเทียบกับยอดเก่า แต่ Indicator ทำยอดสูงขึ้นเรื่อยๆDivergence Bearish คือ ราคาทำราคาสูงสุดใหม่ เมื่อเทียบกับยอดเดิม แต่ Indicator ทำ ยอดต่ำลงมาเรื่อยๆ
Side way คือ ราคาวิ่งไปวิ่งมา ในกรอบราคาแคบๆ ไม่มีเทรนที่ชัดเจน ช่วงนี้ ไม่น่าเทรด เพราะอาจจะทำให้เราปวดหัวได้

ขอขอบคุณที่มา >>> http://www.fx-dd.makewebeasy.com

Sunday, July 11, 2010

Chart analysis

Chart analysis

A price chart is a sequence of prices plotted over a specific time frame. In statistical terms, charts are referred to as time series plots.

Types of price charts

    There are three types of charts:

  • Line (Fig.1)
  • Bars (Fig.2)
  • Candlesticks (Fig.3)

2 and 3 give more detailed information such as the open, close, low and high over a specific time frame.

      Fig.1
      Fig.2
      Fig.3

Support and resistance

The support and resistance line/level is a certain level reaching which the price cannot fall or move higher, respectively. In any market with a stable trading range prices will meet resistance and support levels. In other words, when the price reaches a certain level, the bulls or bears begin aggressive buying or selling, because they do not agree to any level, and at some point supply and demand in the market are equal, thus forming resistance or support lines. However, if there is an upward or downward breakout of a trading range, the previous support level becomes the level of resistance (Fig. 4), and the level of resistance, on the contrary, becomes the level of support (Fig. 5).

      Fig.4
      Fig.5

In addition to trend lines, the low and high can serve as support and resistance levels (Fig. 6 and Fig.7). However, the previous high or low does not mean that it is the level from which the price will leap back. They tell us that when price moves close to them, it may meet the level of support or resistance near the low or high because the market remembers that there was parity between the bulls and bears at this level, and when the price is close to the level of support all start buying, and when approaching the level of resistance, on the contrary, start selling. A breakout of the previous minimum or maximum can be considered as a signal to further fall or increase in prices.

      Fig.6
      Fig.7

The criterion for a breakout of support and resistance levels can be a chain of 2-3 closures below or above these levels, respectively, as common breakout still did not mean anything (Fig.8). The above criterion is confirmation of a temporary duration. There are several approaches to definition of criteria: breakout depth, price values coming out of support or resistance levels.

      Fig.8

Bars (Fig.9), candlesticks (Fig.10), the lows (Fig.11) and highs (Fig.12) can also serve as support or resistance lines.

      Fig.9
      Fig.10
      Fig.11
      Fig.12

Trend

Trend is an upward or downward tendency which is characterized by a strict consequence of higher maximums and minimums, in case of upward tendency, and lower minimums and maximums, in case of downward tendency. An uptrend is considered not to be broken till the previous high or low is not broken through. In other words, the next high or low is lower than the previous one. It is the necessary criterion for an upward tendency. A downtrend is considered not to be broken till the previous low or high is not broken through.

      Fig.13
      Fig.14

Trading range

Unlike a trend, a trading range represents a horizontal tendency in which a sequence of the highs and lows are almost in the same level. It also includes price fluctuations over long-lasted period of time. A trading range is considered to be broken if its upper or low boundary has been broken through. (Fig.15)