เรียนรู้สิ่งที่ดีที่สุด เพื่อจะเป็นคนที่เก่งที่สุด

วอเร็น บัฟเฟตต์
หากคุณนำเงิน 10,000 เหรียญไปลงทุนกับ วอเร็น บัฟเฟตต์ เมื่อตอนที่เขาเริ่มลงทุนกับหุ้นในปี 1956 เงินทุนของคุณจะมีมูลค่าสุทธิหลังจากหักค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย และภาษีแล้วในวันสูงถึง 300 ล้านเหรียญ ความสำเร็จอันน่าทึ่งของบัฟเฟตต์ ยิ่งน่าสนใจเป็นพิเศษเพราะเขาไม่ได้ถือครองสิทธิบัตรใดๆ ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่หรือการค้าปลีกแนวใหม่หรือแม้แต่เริ่มทำธุรกิจของตนเองเลย เครื่องมือที่เขาใช้ซึ่งทุกคนในโลกทุนนิยมก็สามารถนำไปใช้ได้ก็คือ การมีวินัยที่เคร่งครัดและยึดมั่นในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างเหนียวแน่น ข่าวดีจากชายที่เคยสร้างมูลค่าเงินลงทุนกว่า 100 พันล้านเหรียญ (และยังคงสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก) ก็คือ ไม่มีความลับหรือเคล็ดลับในการสร้างความมั่งคั่งในการลงทุนในธุระกิจของคนอื่น ซึ่งรับประกันได้ว่า คุณกสามารถสร้างความมั่งคั่งได้และสามารถส่งต่อความมั่งคั่งไปยังรุ่นต่อไปได้โดยใช้วิธีและหลักการเดียวกัน
เรียนรู้สิ่งทีดีที่สุดเพื่อจะเป็นคนเก่งที่สุด
วอเร็นบัฟเฟตต์ศึกษาศาสตร์ทุกแขนงที่ดีที่สุดจากทุกประเทศ เขาเล่นกอล์ฟกับ ไทเกอร์ วู้ดส์ เล่นเทนนิสกับมาร์ตินา นาฟาร์ติโลวา และเล่นบริดจ์กับ ชารอน ออสเบิร์ก แชมป์โลกสองสมัย เขาจะพูดคุยเรื่องการเพาะกายและการเมืองกับ อาร์โนล ชวาซาเนเกอร์ เรื่องดนตรีกับ จิมมี่ บัฟเฟตต์ เรื่องการผลิตภาพยนต์กับเดบบี้ เรย์โนล และเรื่องการรเต้นรำกับไมเคิล ฟลาเลย์ ส่วนบิลล์ เกตส์ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาก็คงถกเถียงเรื่องความก้าวหน้าและอนาคตของเทคโนโลยี ซีอีโอที่เก่งที่สุดในโลกมารวมตัวกันเพื่อต้องการฟังคำแนะนำจากวอเร็นบัฟเฟตต์ทุกครั้งที่มีโอกาส นักการเมืองจะแวะเมืองโอมาฮาเพื่อขอเสียงสนับสนุนจากเขา ประธานาธิปดี สมาชิกสภานิติบัญญัติสมาชิกตุลาการ แม้แต่ประธานกรรมการธนาคารกลาง ต่างยินดีที่จะได้พบเขาในงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีในเดือนมกราคมที่อัลฟาคลับใน วอชิงตันดีซี และกิจการที่ถูกซื้อโดยบริษัทของวอเร็นจะถือว่าการถูกซื้อนั้นเป็นเกียรติ
อันที่จริงวอเร็นเพียงแต่จะศึกษาสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ปัจจุบันเขาได้สร้างบริษัทในเครือขึ้นเพื่อให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดในโลกไม่ว่าจากวงการบันเทิง กีฬา ความสำเร็จในการทำธุรกิจ ความมั่งคั่ง ความสามารถ และผู้บริหารกิจการ บริษัทเน็ตเจ็ทส์ของบัฟเฟตต์ให้บริการเครื่องบินเช่าแก่ผู้ที่มีฐานะ มากกว่า 5000 คน และที่ดีที่สุดคือการให้บริการมากกว่า 240000 เที่ยวบินต่อปีในกว่า 140 ประเทศ ซึ่งเน็ตเจทส์กล่าวว่าใครก็ตามที่มีฐานะหรือมีสินทรัพย์สุทธิ 20 ล้านเหรียญหรือมากกว่า ไม่สามารถจะมีวิถีชีวิต ความมั่นคง ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการซื้อสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของเครื่องบินเจทส์ของเขาหนึ่งลำ ซึ่งเปรียบเทียบได้เท่ากับการมี Air Force One (ซึ่งเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งของประธานาธิปดีของสหรัฐอเมริกา) โดยไม่ต้องลงชิงตำแหน่งประธานาธิปดี
พิธีกรรายการทอล์คโชว์ทางวิทยุ ดอนไอมูส และรายการทีวีภาคดึก เดวิค เลทเทอร์แมน มักจะคุยโม้เกี่ยวกับเครื่องบินเน็ตเจ็ทส์ของพวกเขา ซึ่งไม่เพียงแต่นักกีฬา นักแสดงและนักดนตรีเท่านั้น แม้แต่ผู้นำทางศาสนาและที่ปรึกษาของประธานาธิปปดีสหรัฐอเมริกาต่างก็ประทับใจในบริการที่ยอดเยี่ยมของพวกเรา แม้แต่ GE กิจการที่ใหญ่ทีสุดในโลกก็ซื้อสิทธิ์ในเน็ตเจทส์หลายสิทธิ์เพิ่มเติมจากเครื่องบินของตนเองที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเครื่องบินในเวลาทีต้องการเพื่อไปร่วมประชุมให้ทันเวลาด้วยต้นทุนการใช้งานที่แท้จริง แต่ไม่ใช่การเป็นเจ้าของประเภทซื้อสิทธิ์แล้วได้กรรมสิทธิ์ในเครื่องบินนั้น
สุดยอดนักลงทุน พิสูจน์ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ ศึกษาเรียนจากคนที่เก่งที่สุด
วอเร็นศึกษาสิ่งที่ดีที่สุดในด้านกรลงทุนเช่นเดียวกัน (เหมือนที่คุณกำลังทำ ด้วยการศึกษาจากวอเร็น บัฟเฟตต์) เขาสังเกต เรียนรู้ บรรยายและเขียนบทความเกี่ยวกับนักลงทุนที่เก่งที่สุดที่ยึดหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ในฐานนะที่เป็นศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ วอเร็นเรียนรู้จากการวิเคราะห์หลักทรัพย์กับศาสตราจารย์ เบน เกรแฮม และเดวิด ดอดด์ ในปี 1984 ซึ่งเป็นงานฉลองครบรอบ 15 ปีของหนังสือ Security Analysis ฉบับสุดท้ายที่เขียนโดยเบนเกรแฮมและดอดด์ วอเร็น บัฟเฟตต์ได้กล่าวสุนทรพจน์ภายใต้หัวข้อ “The Superinvestors Of Graham And Doddsville” นักลงทุนระดับสุดยอดแห่งหมู่บ้านแกรแฮมและดอดด์วิลล์
วอเร็นกล่าวว่า สุดยอดนักลงทุน (คนกลุ่มเล็กๆที่สามารถทำกำไรได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี) ที่อ่าน เข้าใจ และปฏิบัติตามหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ Security Analysis ล้วนแล้วแต่มาจากสังคมปัญญาชนเกรแฮมและดอดด์วิลล์
เขามักจะเชื่อและพิสูจน์มันด้วยสุนทรพจน์เสมอว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามหรือเป็นคนในชุมชนเกรแฮมและดอดด์วิลล์ จะประสบความสำเร็จและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลตอบแทนที่โดดเด่นด้วยการลงทุนในหุ้นที่แตกต่างกัน บัฟเฟตต์ยืนยันว่าโดยเฉลี่ยแล้วนักลงทุนรายย่อยสามารถจัดพอร์ตโฟลิโอได้ดีกว่าตลาดโดยรวมตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามหลักการของเกรแฮมและดอดด์ หรือลงทุนแบบเน้นคุณค่า นักลงทุนสามารถทำได้โดยการนำหลักการและวิธีการเดียวกันกับววอเร็นบัฟเฟตต์ใช้ ไปปรับใช้โดยไม่ต้องลงทุนให้หุ้นเดียวกัน
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งบัฟเฟตต์ไช้อธิบายการลงทุนทุกประเภทาศาสตร์และศิลป์ที่จะซื้อสินทรัพย์มูลค่า 1 เหรียญ ในราคา 50 เซนต์ วอเร็นไม่เพียงแต่กำหนดลักษณะและการตั้งชื่อเมืองสุดยอดเกรแฮมและดอดด์วิล เขายังเป็นประชาชนคนแรกและเป็นผู้นำ(นายกเทศมนตรี) โดยชอบธรรมของชุมชนอีกด้วย และปัจจุบันมี ลูชิมป์สันเป็นรองนายกเทศมนตรี
ดังนั้นหากวอเร็น บัฟเฟตต์ศึกษาสิ่งที่ดีที่สุดในทุกๆด้าน ไม่เพียงแต่การบริหารการลงทุน ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลเช่นกันหากคุณต้องการจะเป็นนักลงทุนที่เก่งกว่านักลงทุนทั่วไป คุณก็ควรจะศึกษาเรื่องราวของวอเร็น บัฟเฟตต์ และเรียนรู้จากคนที่เก่งที่สุด
สร้างความมั่งคั่งมูลค่าสูงกว่า 100 พันล้านเหรียญ
เพื่อที่จะเข้าใจวิธีประสบความสำเร็จสูงสุดในการสร้างความมั่งคั่งของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ลองพิจารณาจากเรื่องนี้ หากนำเงินที่ได้ 1 ล้าน เหรียญไปลงทุนทุกๆปี โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 10 % เป็นเวลา 48 ปีครึ่ง จำนวนเงินนี้จะเท่ากับ 1 พันล้านเหรียญซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ มาตรฐานของคนทั่วไป แต่วอเร็น บัฟเฟตต์ ทำเช่นนี้ให้กับผู้ถือหุ้นถึง 66 เท่า และ 36 เท่าสำหรับตัวของเขาเอง หรือมากกว่า 100 เท่าตลอดช่วงเวลา 50 ปีในอาชีพการลงทุนของเขาและยังดำเนินต่อไป ชาลี มันเจอร์ หุ้นส่วนของเขากล่าวว่า “อายุยิ่งมากขึ้น วอเร็นก็ยิ่งทำได้ดีขึ้น”
บัฟเฟตต์ปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นของเขาเหมือนเป็นหุ้นส่วน ความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์สร้างขึ้นหรือเกิดขึ้นจากผู้ถือหุ้น แต่ไม่ใช่จากต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายของพวกเขา บัฟเฟตต์สร้างความมั่งคั่งให้หุ้นส่วนเช่นเดียวกับที่เขาสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง ให้กับครอบครัวของเขา และที่สุดก็สร้างประโยชน์ให้แก่โลก เพราะวันหนึ่งในอนาคตความมั่งคั่งของเขาจะกลายเป็นเงินทุนให้แก่มูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปี 1962 เมื่อ บัฟเฟตต์มีทรัพย์สินมูลค่า 1.5 ล้านเหรียญ หุ้นส่วนของเขามีทรัพย์สินถึงมูลค่า 8.5 ล้านเหรียญ และเมื่อรวมความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์และผ้ถือหุ้นแล้วสูงถึง 10 ล้านเหรียญ ในปี 1971 เมื่อเขาอายุ 41 ปีบัฟเฟตต์มีสินทรัพย์มูลค่า 33.6 ล้านเหรียญ และผู้ถือหุ้นมีสินทรัพย์มูลค่า 36.4 ล้านเหรียญ รวมแล้วปท่ากับ 70 ล้านเหรียญ 1982 ทรัพย์สินของบัฟเฟตต์มีมูลค่าประมาณ 372 ล้านเหรียญ และของหุ้นส่วนรวมกันประมาณ 403 ล้านเหรียญรวมทั้งสิ้นแล้วประมาณ 775 ล้านเหรียญ บัฟเฟตต์ได้รับตำแหน่งอภิมหาเศรษฐีในปี 1989 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญ และผู้ถือหุ้นอีก 3.7 พันล้านเหรียญ ความมั่งคั่งโดยรวมประมาณ 7.1 พันล้านเหรียญ
ในปี 1998 บัฟเฟตต์กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 33.6 พันล้านเหรียญ และทรัพย์สินหุ้นส่วนอีก 71.4 พันล้านเหรียญ รวมสินทรัพย์ก้อนโตทั้งหมดสูงถึง 105 พันล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีใครมีความมั่งคั่งสูงถึงระดับนี้โดยไม่มีการขายหุ้นบริษัทของตนเองหรือออกสิทธิ์ในการซื้อหุ้นแก้ผู้บริหาร หรือเพิ่มเงินลงทุนหรือกว้านซื้อกระบวนการผลิตใหม่ๆหรือสิทธิบัตรหรือไม่เคยเริ่มต้นหรือเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง
ความมั่งคั่งอาจเกิดได้ 4 วิธี คือการได้รับมรดก การแต่งงาน การถูกลอตเตอรี่ หรือโดยการทำธุกิจของตัวเอง อย่างไรก็ตามการได้มาซึ่งความมั่งคั่งทั้งหมดนี้จะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อจะต้องเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ตลอดไปและใช้กว่าน้อยกว่ารายได้ที่สามารถหามาได้ ความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์ไม่ได้มาจากกองมรดก หรือการแต่งงาน หรือการถูกล็อตเตอรี่ หรือการเป็นเจ้าของธุรกิจใดๆ แต่เกิดจากการเป้นเจ้าของหลายๆธุรกิจโดยเริ่มลงทุนผ่านตลาดหุ้นจากนั้นก็วื้อธุรกิจโดยตรงทั้งงธุรกิจ ดังที่คุณได้เรียนรู้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์มักจะใช้จ่ายน้อยกว่าระดับรายได้ของเขาเสมอ และไม่เคยหยุดที่จะทำให้ความมั่งคั่งของหุ้นส่วนและขอตนเองเพิ่มขึ้น เขายังสะสมความมั่งคั่งส่วนตัวมากกว่า 100 พันล้านเหรียญ และหลังจากที่เขาและภรรยาเสียชีวิต มูลนิธิของเขาจะได้รับเงินบริจาคปีละกว่า 5 พันล้านเหรียญตลอดไป
เบร์กไซร์ฮาธาเวย์ บริษัทแม่หรือบริษัทโฮลดิ้งของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ลงทุนในธุรกิจมากมายและกระจายไปในอุสาหกรรมต่างๆมากกว่ากิจการขนาดใหญ่อื่นๆ ทั้งที่บริษัทเอกชน แต่จะไม่มีประธานหรือรองประธานกรรมการที่รับผิดชอบธุรกิจนั้นๆโดยตรงกิจการขนาดใหญ่ของบัฟเฟตต์มีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร
วอเร็นแตกต่างจากบุคลลที่ร่ำรวยอื่นๆใน 400 ลำดับมหาเศรษฐีที่จัดในนิตยสาร ฟอร์บ เขาเป็นมหาเศาษฐีที่ไม่ได้เกิดจากกองมรดก หรือจากการแต่งงาน หรือถูกลอตเตอรี่ หรือสร้างความมั่งคั่งจากธุรกิจของตัวเอง วอเร็นไม่เคยแม้แต่จะคิดค้นวิธีการหรือหลักการลงทุนใหม่ๆ หลักการลงทุนของเขาเรียนมาจากอาจารย์และนายจ้าง คือคุณพ่อของเขา (สมาชิกรัฐสภาอเมริกันและนายหน้าค้าหุ้นที่โอมาฮา)และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของเขา ความสำเร็จในธุรกิจและการลงทุนที่ยอดเยี่ยมของเขาไม่ได้เกิดจากสิ่งประดิษฐ์หรืออวิธีการใดๆ แต่เกิดจากการยึดมั่นในการนำหลักการลงทุนเน้นคุณค่าแบบดั้งเดิมมาปรับใช้
ทักษะ พรรวรรค์ และความเชี่ยวชาญของบัฟเฟตต์ คือการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของธุรกิจ การเรียนรู้คุณค่าของผู้บริหาร (หรือความบกพร่อง)การซื้อธุรกิจในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า และการจูงใจและเก็บรักษาผู้บริหารที่มีความสามารถจากนั้นจังโยกย้ายเงินลงทุนส่วนเกินเพื่อให้เกิดผลผลิตเพิ่มขึ้นและจำทำซ้ำๆเป็นวงจร ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คุณเองก็สามสารถจะสร้างความมั่งคั่งได้เช่นเดียวกัน หากคุณตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตต่ำกว่าระดับรายได้ของคุณ เรียนรู้และทำตามวิธีการของเขา แน่นอนมันอาจจะไม่ใช่หลักการและวิธีการปฏิบัติของเขาเสียทีเดียว แต่เป็นการสอนและตัวอย่างง่ายๆของคุณพ่อของเขา และอาจารย์ในมหาวิทยาลัย

Read the rest of this entry »

Indicators

There are a lot of technical indicators and every trader can create his/her own indicators, therefore we confine ourselves to enumerate the main ones.

Moving Average. This indicator is the simplest and most popular in technical analysis (including FOREX). Moving Average belongs to trend indicators and it helps identify the beginning of a new tendency and its completion. According to its tilt angle we can define the power (speed of movement); Moving Average is used in huge number of other technical indicators as a basis or smoothing factor. Sometimes Moving Average is called a trend line.

One of derivative modifications of Moving Average is Weighted Moving Average. It represents arithmetic weighted fluctuations of prices for a certain period of time. As an analytical instrument it removes some shortcomings of Simple Moving Average but not all. There are a lot of modifications of Weighted Moving Average which use different variants of weight calculation.

As it was discussed before, different moving averages smooth price data and make trend identification simpler, what is important in volatile market.

In order to reduce lag when using moving average, technical analytics often use Exponential Moving Average (EMA). EMA reduces lag attaching importance to the last prices compared to remote ones. It allows of quicker reaction to current changes in prices compared to Simple Moving Average. The important attached to the last price depends on the period of Moving Average. The shorter period of EMA, the greater importance of the last price.

Moving Average Envelopes consist of 2 Moving Averages. One of them is displaced up and the other is displaced down on a certain percent called a coefficient of envelope. Sometimes the third line from which displacement takes place is drawn. It is considered that envelopes determine the boundaries of normal price fluctuations of a currency pair. The principle of use of this indicator is the following: the price always comes back to its main trend (to its central moving average) after some fluctuations.

Bollinger Bands can be determined as a technical indicator which is similar to Moving Average Envelopes but based on current market volatility. Unlike Moving Average Envelopes, Bollinger Bands are measured not only in accordance with the direction of price movement but the type of this movement (speed of price movement). This indicator makes statistical estimation of how far short-term movement can go before it comes back to the main tendency.

Average Directional Index (ADX) is a technical indicator which estimates trend power and determines whether the trend would continue or become weaker. In fact, ADX belongs to the category of oscillators which fluctuates between 0 and 100. Notwithstanding movements of the indicator are between 0 and 100, the movement above 60 rarely occurs. The value below 20 gives signal of weak trend and the value above 40 give signal of strong trend. ADX can be used for determination of potential changes in market. When readings cross 20 upwards it may give the signal of change in trend. When the indicator shows the value below 40 falling from higher level, it may mean that the trend loses its power.

Average True Range is an indicator of volatility. The true range is determined as the maximum of 3 values.

• difference between the current maximum and current minimum;
• absolute value of difference of the current maximum and the previous closing;
• absolute value of difference of the current minimum and the previous closing.

If a range of fluctuations inside a period (difference between maximum and minimum) is relatively huge then the value of index will be calculated on the basis of it. If the difference between the maximum and minimum is relatively small then other two of above-mentioned methods will be used for the index calculation. The last two variants is usually obtained if the previous closing is more than the current maximum or the previous closing is lower than the current minimum.

Commodity Channel Index ( CCI). CCI was primarily created as an indicator for determination of reversal points in commodity markets. However, with the course of time it has become popular in stock markets and FOREX. The assumption which the indicator is based on is that all the assets move under influences of certain cycles and highs and lows appear at a certain interval. CCI belongs to the oscillators that measure speed of price developments.

Rate of Change (ROC) is one of the simplest and most effective oscillators that show percentage change in prices from one period to another. ROC is calculated as comparison between the current price and the price of previous period lagged from the current one for N periods. Periods refer to the intervals from 1 minute to 1 month.

Relative Strength Index is another most popular oscillator estimating movement power. RSI compares value of rises of asset price for the last time with value of its fall and provides the information in terms of numbers between 0 and 100. The only parameter of RSI is time frame used in calculation.

Stochastic Oscillator is an indicator that shows ratio of the current closing price to high/low for the specified period. It is created to use one of characteristics of market prices – when there is uptrend, closing prices are usually close to the high boundary of trading range and in downward direction closing prices are usually close to the low boundary of trading range for the specified period. Stochastic Oscillator measures location of closing prices of the last period relative to the high or low boundary of price change for the specified time frame.

Momentum shows speed of price changes or, in other words, rate of price changes, being, at the same time, one of the simplest and most effective tools of technical analysis. If the current closing price exceeds the previous one it shows upward trend, but if the current closing price is lower than previous it means downward trend. Sometimes smoothed momentum is used in order to reduce volatility. For this purpose Moving Average is used. In most cases, the indicator is anticipatory with regard to the main price movement.

Ichimoku was created in Japan for analysis in concert with candlesticks because when using candlesticks alone there was impossibility to accurately determine entry and exit points as well as stops and limits. Icsahimoku was developed by Goichi Hosoda (under the pseudonym of Ichimoku Sanjin) for Nikkei index. It is considered to be a trend indicator as it gives good signals in a trend and range.

Read the rest of this entry »

Japanese candlesticks

Japanese candlesticks are one the most popular and oldest method of technical analysis. Many traders use candlesticks in FOREX and stocks. As of today, most of trading platforms have such a section as "Japanese candlesticks". This type of chart has become a key chart instrument for trading in financial markets.

What is the secret of success of Japanese candlesticks?

Firstly, it is that the instruments of candlesticks are so versatile that can be used with any of the western technical instruments.

Secondly, Japanese candlesticks can give signals earlier than other tools of technical analysis and sometimes such signals that the western instruments cannot give at all.

Thirdly, it is wide use for analysis of investment, hedging; futures, options, stocks and currency trading.

Fourthly, it is beauty and figurative of terminology for figure description (see below).

In order to create a candlestick chart, you must have a data set that contains open, high, low and close values for each time period you want to display. The hollow or filled portion of the candlestick is called "the body" (also referred to as "the real body"). The long thin lines above and below the body represent the high/low range and are called "shadows" (also referred to as "wicks" and "tails"). The high is marked by the top of the upper shadow and the low by the bottom of the lower shadow. If the stock closes higher than its opening price, a hollow candlestick is drawn with the bottom of the body representing the opening price and the top of the body representing the closing price. If the stock closes lower than its opening price, a filled candlestick is drawn with the top of the body representing the opening price and the bottom of the body representing the closing price.

The advantage of candlestick chart is that a candlestick's color shows who won - the bulls or bears. A long white body indicates that the bulls control the market but a long black body shows that the bears are in possession of the market. "Close" of a long white candlestick is always higher than "Open" but "Open" is always higher than "Close" in a long black candlestick.

Each candlestick provides an easy-to-decipher picture of price action. Immediately a trader can see compare the relationship between the open and close as well as the high and low. The relationship between the open and close is considered vital information and forms the essence of candlesticks. Hollow candlesticks, where the close is greater than the open, indicate buying pressure. Filled candlesticks, where the close is less than the open, indicate selling pressure.

A candlestick in which Open and Close are virtually equal is called Doji. In sideways trend this candlestick doesn't give any signals. However, in upward trend it gives a signal about possible trend reversal. Doji convey a sense of indecision or tug-of-war between buyers and sellers. Prices move above and below the opening level during the session, but close at or near the opening level. The result is a standoff. Neither bulls nor bears were able to gain control and a turning point could be developing.

Bullish candlesticks and their patterns.

Hammer

Description: the candlestick with very long lower shadow and small body (black or white) under the upper boundary. The longer lower shadow, the more important signal given by the candlestick. (Pic.1)

Pic.1 Hammer

Bullish engulfing

Description: the market was in a downward trend, the white body completely engulfs the previous day's body. In order to be sure that the engulfing is true, there must be a downward trend (Pic.2).

Pic.2 Bullish engulfing

Morning Star

Description: A three day bullish reversal pattern consisting of three candlesticks - a long-bodied black candle extending the current downtrend, a short middle candle that gapped down on the open, and a long-bodied white candle that gapped up on the open and closed above the midpoint of the body of the first day.(Pic.3)

Pic.3 Morning Star

Bearish stars and their patterns.

Hanging man

Description: long lower shadow and short body (white or black) under the upper part of the candlestick. This candlestick forms during an upward trend. (Pic.4)

Pic.4 Hanging man

Shooting star

Description: long upper shadow and short body (white or black) above the lower part of the candlestick. This pattern can appear during an uptrend. (Pic.5)

Pic.5 Shooting star

Bearish engulfing

Description: the market was in an uptrend, the black body completely engulfs the previous day's body. In order to be sure that the engulfing is true, there must be an uptrend (Pic.6).

Pic.6 Bearish engulfing

Black clouds

Description: a bearish reversal pattern that continues the uptrend with a long white body. The next day opens at a new high then closes below the midpoint of the body of the first day. (Pic.7)

Pic.7 Black clouds

Evening star

Description: a bearish reversal pattern that continues an uptrend with a long white body day followed by a gapped up small body day, then a down close with the close below the midpoint of the first day. (Pic.8)

Pic.8 Evening star

Read the rest of this entry »

Reversal Pattern

Reversal patterns

Head-and-shoulders

The head-and-shoulders pattern is one of the most popular and reliable chart patterns in technical analysis. And as one might imagine from the name, the pattern looks like a head with two shoulders. Let's see how the pattern forms.

It is important to establish the existence of a prior uptrend for this to be a reversal pattern. While in an uptrend, the left shoulder forms a peak that marks the high point of the current trend. After making this peak, a decline ensues to complete the formation of the shoulder. The low of the decline usually remains above the trend line. From the low of the left shoulder, an advance begins that exceeds the previous high and marks the top of the head. After peaking, the low of the subsequent decline marks the second point of the neckline. The advance from the low of the head forms the right shoulder. This peak is lower than the head (a lower high) and usually in line with the high of the left shoulder. The decline from the peak of the right shoulder should break the neckline. (Fig.7)

Fig.7

The inverse head-and-shoulders pattern is the exact opposite of the head-and-shoulders top, as it signals that the price is set to make an upward move. Often coming at the end of a downtrend, the inverse head and shoulders is considered to be a reversal pattern, as the price typically heads higher after the completion of the pattern. Let's see how this pattern forms.

It is important to establish the existence of a prior downtrend for this to be a reversal pattern. Without a prior downtrend to reverse, there cannot be a Head and Shoulders Bottom formation. After forming this trough, an advance ensues to complete the formation of the left shoulder. The high of the decline usually remains below any longer trend line, thus keeping the downtrend intact. From the high of the left shoulder, a decline begins that exceeds the previous low and forms the low point of the head. After making a bottom, the high of the subsequent advance forms the second point of the neckline. The high of the advance sometimes breaks a downtrend line, which calls into question the robustness of the downtrend. The decline from the high of the head begins to form the right shoulder. This low is always higher than the head, and it is usually in line with the low of the left shoulder. While symmetry is preferred, sometimes the shoulders can be out of whack, and the right shoulder will be higher, lower, wider, or narrower. When the advance from the low of the right shoulder breaks the neckline, the Head and Shoulders Bottom reversal is complete. (Fig.8)

Fig.8

Double-top and double-bottom

The double top and double bottom are another pair of well-known chart patterns whose names don't leave much to the imagination. These two reversal patterns illustrate the price's attempt to continue an existing trend. Upon several attempts to move higher, the trend is reversed and a new trend begins. These chart patterns formed will often resemble what looks like a "W" (for a double bottom) or an "M" (double top). The double-top pattern is found at the peaks of an upward trend and is a clear signal that the preceding upward trend is weakening and that buyers are losing interest. Upon completion of this pattern, the trend is considered to be reversed and the price is expected to move lower. (Fig.9) Double bottom is the opposite pattern of the double top as it signals a reversal of the downtrend into an uptrend. This pattern will closely resemble the shape of a "W". (Fig.10)

Fig.9

Fig.10

Triple top

The triple top is a reversal pattern made up of three equal highs followed by a break below support. This bearish reversal pattern is formed when the price that is trending upward tests a similar level of resistance three times without breaking through. Each time the price tests the resistance level, it falls to a similar area of support. After the third fall to the support level, the pattern is complete when the price falls through the support; the price is then expected to move in a downward trend.

Fig.11

Triple bottom

The triple bottom is a reversal pattern made up of three equal lows followed by a breakout above resistance. It resembles the inverse Head & Shoulders pattern but all three minimums are in the equal level. The triple-bottom pattern illustrates a price that is trading in a downtrend and attempts to fall through a level of support three times, each time moving back to a level of resistance. After the third attempt to push the price lower, the pattern is complete when the price moves above the resistance level and begins trading in an upward trend. (Fig.12)

Fig.12

V-top

A V-top pattern resembles a deep cavity. Fig.13 shows that there is a long-term downtrend till the middle of February, 1985. However V-bottom means a reversal of tendency (the victory of the bulls over the bears).

Fig.13

V-bottom

A V-bottom pattern resembles a deep cavity. Fig.14 shows that there is a long-term downtrend till the middle of February, 1985. However V-bottom means a reversal of tendency (the victory of the bulls over the bears).

Fig.14

Round tops and round bottoms

A rounding-bottom pattern looks similar to a cup and handle (see below), but without the handle. The basic formation of a rounding bottom comes from a downward price movement to a low, followed by a rise from the low back to the start of the downward price movement - forming what looks like a rounded bottom.

The pattern should be preceded by a downtrend but will sometimes be preceded by a sideways price movement that formed after a downward trend. The start of the rounding bottom (its left side) is usually caused by a peak in the downward trend followed by a long price descent to a new long-term low. A rounding-top is the exact opposite pattern. (Fig.15, 16)

Fig.15

Fig.16

Rhomb

This pattern resembles a rhomb or diamond (Fig.17). In a geometrical sense, it is not perfect on charts. A rhomb is usually a reversal pattern. However, if after breaking the price comes back to the middle of this pattern, it means that something is wrong and it is better to close a position.

Fig.17

Cup-and-handle

A cup-and-handle pattern is very rare and resembles the shape of a tea cup on a chart. It also resembles round bottom pattern but the difference between a cup-and-handle and round bottom is that the former appears in the middle of a trend. It is considered to be a bullish continuation pattern where the upward trend has paused, and traded down, but will continue in an upward direction upon the completion of the pattern.

The cup-and-handle pattern is preceded by an upward move, which stalls and sells off. The sell-off is what forms the initial part of this pattern. After the sell-off, the price will basically trade flat for an extended period of time, with no clear trend. The next part of the pattern is the upward move back towards the peak of the preceding upward move. The last part of the pattern, known as the handle, is a relatively smaller downward move before the price moves higher and continues the previous trend. (Fig.18)

Fig.18

Read the rest of this entry »

Trend Continuation Pattern

Continuation patterns

Triangles

It is one of the most frequent patterns in technical analysis. The basic construct of this chart pattern is the convergence of two trendlines - flat, ascending or descending - with the price moving between the two trendlines.

There are three types of triangles:

• The symmetrical triangle
• The ascending triangle
• The descending triangle

Symmetrical triangle

The symmetrical triangle, which can also be referred to as a coil, usually forms during a trend as a continuation pattern. The pattern contains at least two lower highs and two higher lows. It is formed by the convergence of a descending resistance line and an ascending support line. The two trendlines in the formation of this triangle should have a similar slope converging at a point known as the apex. The price will bounce between these trendlines, towards the apex, and typically breakout in the direction of the prior trend. If preceded by a downward trend, the focus should be on a break below the ascending support line. If preceded by an upward trend, look for a break above the descending resistance line. However, this pattern doesn't always lead to a continuation of the previous trend. A break in the opposite direction of the prior trend should signal the formation of a new trend.

Fig.1

Above is an example of a symmetrical triangle that is preceded by an upward trend. The first part of this pattern is the creation of a high in the upward trend, which is followed by a sell-off to a low. The price then moves to another high that is lower than the first high and again sells off to a low, which is higher than the previous low. At this point the trendlines can be drawn, which creates the apex. The price will continue to move between these lines until breakout.

The pattern is complete when the price breaks out of the triangle - look for an increase in volume in the direction of the breakout. This pattern is also susceptible to a return to the previous support or resistance line that it just broke through, so make sure to watch for this level to hold if it does indeed break out.

Ascending triangle

The ascending triangle is a bullish pattern, which gives an indication that the price is headed higher upon completion. The pattern is formed by two trendlines: a flat trendline being a point of resistance and an ascending trendline acting as a price support.

The price moves between these trendlines until it eventually breaks out to the upside. This pattern will typically be preceded by an upward trend, which makes it a continuation pattern; however, it can be found during a downtrend.

Fig.2

Descending triangle

The descending triangle is the opposite of the ascending triangle in that it gives a bearish signal to chartists, suggesting that the price will trend downward upon completion of the pattern. The descending triangle is constructed with a flat support line and a downward-sloping resistance line.

Similar to the ascending triangle, this pattern is generally considered to be a continuation pattern, as it is preceded by a downward trendline. But again, it can be found in an uptrend.

Fig.3

The first part of this pattern is the fall to a low that then finds a level of support, which sends the price to a high. The next move is a second test of the previous support level, which again sends the stock higher - but this time to a lower level than the previous move higher. This is repeated until the price is unable to hold the support level and falls below, resuming the downtrend.

This pattern indicates that buyers are trying to take the price higher, but continue to face resistance. After several attempts to push the stock higher, the buyers fade and the sellers overpower them, which sends the price lower.

Flag

Flag is the most reliable pattern of trend continuation and formed when there is a sharp price movement followed by generally sideways price movement, which is the flag or pennant. The pattern is complete when there is a price breakout in the same direction of the initial sharp price movement. The following move will see a similarly sharp move in the same direction as the prior sharp move. The complete move of the chart pattern - from the first sharp move to the last sharp move - is referred to as the flag pole.

The flag is considered to be flying at half-mast, as the distance of the initial price movement is thought to be roughly equal to the proceeding price move. The reason these patterns form is that after a large price movement, the market consolidates, or pauses, before resuming the initial trend.

Fig.4

Wedge

A wedge pattern appears during a power trend after sharp, steep movement. It represents a tendency of short duration which is directed to the opposite side of the initial sharp price movement but there are no signs of consolidation. A wedge is similar to the triangles, in that the price movement bounces between the two trendlines, which are bounding the price movement. (Fig.5)

The price movement in the wedge should at minimum test both the support trendline and the resistance trendline twice during the life of the wedge. The more times it tests each level, especially on the resistance end, the higher quality the wedge pattern is thought to be.

Fig.5

Rectangle

A rectangle is a continuation pattern that forms as a trading range during a pause in the trend. The pattern is easily identifiable by two comparable highs and two comparable lows. The highs and lows can be connected to form two parallel lines that make up the top and bottom of a rectangle. Rectangles are sometimes referred to as trading ranges, consolidation zones or congestion areas.

A rectangle pattern shows that supply and demand are in approximate balance for an extended period of time. The trading instrument moves in a narrow range, hitting resistance at the rectangle’s top and finding support at its bottom. The rectangle can occur over a protracted period of time or form quickly amid a relatively wide-ranging series of bounded fluctuations. It is a pattern which shows trader indecision, one in which the bulls and bears are approximately equally powerful.(Fig.6)

Fig.6

Read the rest of this entry »

Analysis Of Charts

Chart analysis

A price chart is a sequence of prices plotted over a specific time frame. In statistical terms, charts are referred to as time series plots.

Types of price charts

There are three types of charts:

• Line (Fig.1)
• Bars (Fig.2)
• Candlesticks (Fig.3)

2 and 3 give more detailed information such as the open, close, low and high over a specific time frame.

Fig.1

Fig.2

Fig.3

Support and resistance

The support and resistance line/level is a certain level reaching which the price cannot fall or move higher, respectively. In any market with a stable trading range prices will meet resistance and support levels. In other words, when the price reaches a certain level, the bulls or bears begin aggressive buying or selling, because they do not agree to any level, and at some point supply and demand in the market are equal, thus forming resistance or support lines. However, if there is an upward or downward breakout of a trading range, the previous support level becomes the level of resistance (Fig. 4), and the level of resistance, on the contrary, becomes the level of support (Fig. 5).

Fig.4

Fig.5

In addition to trend lines, the low and high can serve as support and resistance levels (Fig. 6 and Fig.7). However, the previous high or low does not mean that it is the level from which the price will leap back. They tell us that when price moves close to them, it may meet the level of support or resistance near the low or high because the market remembers that there was parity between the bulls and bears at this level, and when the price is close to the level of support all start buying, and when approaching the level of resistance, on the contrary, start selling. A breakout of the previous minimum or maximum can be considered as a signal to further fall or increase in prices.

Fig.6

Fig.7

The criterion for a breakout of support and resistance levels can be a chain of 2-3 closures below or above these levels, respectively, as common breakout still did not mean anything (Fig.8). The above criterion is confirmation of a temporary duration. There are several approaches to definition of criteria: breakout depth, price values coming out of support or resistance levels.

Fig.8

Bars (Fig.9), candlesticks (Fig.10), the lows (Fig.11) and highs (Fig.12) can also serve as support or resistance lines.

Fig.9

Fig.10

Fig.11

Fig.12

Trend

Trend is an upward or downward tendency which is characterized by a strict consequence of higher maximums and minimums, in case of upward tendency, and lower minimums and maximums, in case of downward tendency. An uptrend is considered not to be broken till the previous high or low is not broken through. In other words, the next high or low is lower than the previous one. It is the necessary criterion for an upward tendency. A downtrend is considered not to be broken till the previous low or high is not broken through.

Fig.13

Fig.14

Trading range

Unlike a trend, a trading range represents a horizontal tendency in which a sequence of the highs and lows are almost in the same level. It also includes price fluctuations over long-lasted period of time. A trading range is considered to be broken if its upper or low boundary has been broken through. (Fig.15)

Read the rest of this entry »

Basic Of Technical Analysis

Technical Analysis

Technical analysis is a method of forecasting of changes in currency rates in the future basing on the information about the market. Technical analysis includes the market data in the past and at this moment of time. By receiving such information, an investor tries to recognize the signals given by the market, or "read" the market.

Technical analysts' exclusive use of historical price and volume data is what separates them from their fundamental counterparts. Unlike fundamental analysts, technical analysts don't care whether a currency pair is undervalued - the only thing that matters is its past trading data and what information this data can provide about where the currency pair might move in the future.

There is a wrong statement that technical analysts ignore fundamental data. Most of successful traders combine technical and fundamental analysis and all of them say that the price reflects all fundamental data. As the price includes such information, a certain pattern forms with the help of which we can predict the further movement of the price.

Technical analysis is based on three assumptions:

• The market discounts everything.
• Price moves in trends.
• History tends to repeat itself.

Read the rest of this entry »

วิเคราะห์แนวโน้มของ GBP/JPY

จากกราฟ ของ GBP/JPY ที่ สี่ชั่วโมง ราคาวิ่งอยู่ระหว่างกรอบเทรนไลน์ขนานสองเส้น โดยที่มีแนวรับอยู่ที่ 144 และ 143 ถ้าหลุดสองราคานี้ลงไปได้ ราคาจะไปที่ 139.50 อีกครั้ง และแนวต้านอยู่ที่ 144.61 ถ้าผ่านได้ในวันนี้ ราคาจะไปที่ 145.09 และ 145.60 วันนี้โฟกัสไว้ที่ เส้น Resistance Trendline ถ้าไม่่ผ่าน ให้ Sell ได้เลย แต่ถ้า่ผ่าน รอจังหวะปรับฐาน แล้วเข้า ออเดอร์ Buy ทันที

Read the rest of this entry »

วิเคราะห์แนวโน้มของ GBP/USD

จากกราฟ 4 ชั่วโมง ราคากำลังมีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1.5978 และถ้าผ่านได้จะไปที่ 1.6080 คำแนะนำ ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนสี่ชั่วโมง สามารถปิดเหนือ 1.5950 เป็นสัญญาณ Buy ที่ดี

มุมมองจากกราฟ Daily ของ GBP/USD แนวโน้มอยู่ในช่วงขาลงอยู่ หลังจากเมื่อวานนี้ได้ลงมาทำ Low ที่ 1.5850 โดยมีแนวรับเก่าอยู่ที่ 1.5833 ซึ่งถ้าผ่านแนวรับนี้ได้ จะลงไปที่ Fibonaccy 127.00 % ที่ราคา 1.5550 แต่ถ้าไม่สามารถผ่านได้แนวรับนี้ได้ ราคาจะกลับไปที่ 1.6631 อีกครั้ง
จาก Stochastic ตอนนี้เกิด Over Sold แล้ว โดยที่ราคา Sto อยู่ต่ำกว่า Level 20 ซึ่งทางเทคนิคบอกว่ากำลังจะเป้นสัญญาณกลับตัว ในการหาจังหวะ BUY

Read the rest of this entry »

วิเคราะห์แนวโน้มของ EUR/USD

แนวโน้มของอียูในวันนี้ เริ่มมีการปรับตัวขึ้นมาในช่วงเช้า โดยที่ราคาทำ High ของวันที่ 1.3977 แนวโน้มในวันนี้ มีแนวต้านอยู่ที่ 1.4025 และถ้าผ่านได้ จะกลับไปที่ 1.4195 อีกครั้ง ราคาปรับฐานจะอยู่ที่ 1.3940
คำแนะนำ ถ้าราคาไม่สามารถ ผ่าน 1.3977 ให้ Sell ได้ทันที แ่ต่ถ้าราคาสามารถผ่าน 1.3977 ได้ ให้รอราคาลงมาปรับฐาน แล้วหาจังหวะ Buy TP 1.4025 และ 1.4195

Read the rest of this entry »